Skip to content

Steins;Gate (2011) สรุปเหตุการณ์ และจุดเชื่อมกับภาค 0

Steins;Gate (2011) สรุปเหตุการณ์ และจุดเชื่อมกับภาค 0 1

เป็นสรุปเนื้อเรื่องสไตน์เกทที่ผมเคย Pantip ตั้งแต่ฉายปี 2011 เอามาปัดฝุ่นใหม่ บางรายละเอียดเชื่อมต่อกับภาคซีโร่ มีสรุปเหตุการณ์ของแต่ละเวิล์ดไลน์ในช่วงท้ายของสปอยล์

จุดเชื่อมต่อของ สไตน์เกท (2011) และ สไตน์เกท ซีโร่ (2018)

สไตน์เกท (2011) ถือว่าเนื้อหาสมบูรณ์ในตัวเองอยู่แล้ว แต่ สไตน์เกท ซีโร่ (2018) ถือว่าทำให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์มากขึ้น โดยอุดช่องว่างบางจุดของภาคแรก และหลายอย่างดูสมเหตุสมผลขึ้น จึงควรดูทั้งสองภาค

สไตน์เกทซีโร่ เป็นภาคที่โฟกัสที่ โอคาเบะคนแรกที่ต้องเสียคุริสุไป และต้องหาคำตอบบางอย่างมาช่วยโอคาเบะในตอนจบ เนื่องจากเหตุการณ์ดำเนินต่อจากภาคแรก จึงถือเป็นภาคต่อ

ตอน 1 : Turning Point

วันที่ : 28 ก.ค. 2010 (ช่วงเช้า)
– งานบรรยายเรื่องไทม์แมชชีน เกิดแผ่นดินไหวก่อนเริ่ม เมื่อ โอคาเบะ รินทาโร่ ขึ้นไปดาดฟ้า แง้มประตูเปิด เห็นเครื่องประหลาด บนตึก และมีคนสวมหมวกทำสัญลักษณ์เหมือนไม่มีปัญหาอะไร จึงถอยกลับมา
– โอคาเบะแย้งกับศาสตาจารย์ชื่อดังที่กำลังบรรยายว่าเอกสารนั้น ลอกทฤษฏีของ John Titor ปรากฏในโลกอินเตอร์เน็ตตั้งแต่ปี 2000 มาใช้
มาคิเซะ คุริสุ ดึงโอคาเบะระหว่างเถียง แล้วบอกว่าเขาทักเธอก่อนหน้านี้ และมีอะไรจะพูดด้วยเมื่อ 15 นาทีก่อน ทั้งที่เขาเพิ่งรู้จักครั้งแรก สร้างความสงสัยให้เขา
– หลังทะเลาะกับคุริสุนอกห้อง ระหว่างเดินลงมาข้างล่าง มือถือเกิดมีคลื่นประหลาดปรากฏบนหน้าจอโดยไม่ทราบสาเหตุ
– ระหว่างคุยกับมายุริ ก็ได้ยินเสียงคนร้องจากด้านบน (เหมือนเสียงผู้ชาย)
– เมื่อขึ้นไปชั้น 8 ก็พบเสียงของล้ม และร่างคุริสุ จมกองเลือดอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น โอคาเบะตกใจแล้วรีบหนีออกมาจากตึกระหว่างเดินข้ามถนนพร้อมมายูริ เขาส่งเมล์มือถือไปหาดารุ เพื่อบอกเรื่องที่เห็น แล้วปรากฏตัวเลขแว๊บนึง (เฉพาะคนดูที่เห็น)

[Divergence Meter : x.xxxxxx -> 0.571024 (เข้าสู่ Alpha Worldline)] – สะเก็ดหินร่วงจากฟ้า เมื่อโอคาเบะมองขึ้นไปบนตึก เห็นเครื่องจักรเหมือนดาวเทียมที่เหมือนชนตึกสิ่งที่แปลกๆ มีหลายสิ่งต่างจากที่เขาจำได้ เช่น งานบรรยายยกเลิกตั้งแต่เมื่อเช้า หรือโอคาเบะบอกเองว่าคนบรรยายหนีตายการการชน ทั้งที่เขาจำไม่ได้ เขาคิดว่า นั่นคือ “Steins Gate”
– ระหว่างขึ้นลิฟต์ คุยเรื่องเมล์ที่ส่งให้ดารุ เขากลับบอกว่าส่งมาจากอดีต เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม แถมส่งมา 3 ฉบับติดกัน ทำให้คิดว่าเรื่องมีคนถูกแทงเป็นเรื่องโกหก หลังออกจากลิฟต์ เขาพบคุริสุยังมีชีวิตอยู่

ตอน 2 : Time Travel Paranoia

– โอคาเบะ ตกใจกับคุริสุไม่ได้ถูกแทง และพูดสิ่งที่เขาเห็น ในงานบรรยาย คุริสุเป็นคนบรรยาย และไม่เชื่อเรื่องไทม์แมชชีน เมื่อโอคาเบะเถียง เขากลายเป็นฝ่ายแพ้
– ห้องแชท @Channel ก็พบกับ จอห์น ไทเทอร์ (John Titor) เคยปรากฏบทเน็ตอเมริกาผู้ท่องเวลามาจากยุค 2036 ตั้งแต่ปี 2000 เคยเขียนหนังสือมากมายเกี่ยวกับเรื่องกาลเวลา จนมีชื่อเสียงไปทั่ว เขากล่าวว่า และพูดถึงบริษัท SERN ที่สร้างเครื่องไทม์แมชชีนได้ตั้งแต่ปี 2034 ทำเพื่อหวังผลกำไร จนทำให้โลกผิดเพี้ยนไป
– โอคาเบะสงสัยว่า จอห์น ไทเทอร์ ที่พบในห้องแชท เป็นตัวจริงหรือไม่ ?เมื่อค้นที่ชั้น หนังสือของ John Titor กับข้อมูลที่ควรมีอยู่ของโอคาเบะ กลับหายไปหมด
– จอห์น ไทเทอร์ ในห้องนั้น แม้จะตอบเรื่องกาลเวลาได้ดีเหมือนตัวจริง กลับปฏิเสธเรื่องตัวตนของเขาในปี 2000
– วันต่อมา ระหว่างทางพบผู้หญิงแปลกๆ ถ่ายรูปเขา เธอชื่อ โมเอกะ (โอคาเบะตั้งชื่อให้ว่า ไชนิ่งฟิงเกอร์) แล้วโชว์รูปคอมพิวเตอร์เก่าๆ เครื่องหนึ่งให้ดู
– ห้องทดลองทำการทดลองกล้วยเข้าโทรศัพท์ไมโครเวฟอีกรอบ คราวนี้ใช้กล้วยผลเดียว ปราฏว่ากล้วยหายไป แล้วกลับไปติดกับหวีเดิมในสภาพที่มีเจลสีเขียว
– คุริสุ มาที่ห้องแล็ปโดยไม่ทราบเหตุผล และเห็นการทดลองนั้น

ตอน 3 : Parallel World Paranoia

– คุริสุมาเพราะสงสัยเรื่องที่บอกว่าเธอถูกแทง และสนใจกับการทดลองที ่เพิ่งทำไปนั้นหลังคุยกันสักพัก โอคาเบะก็ให้เธอเป็นสมาชิกของห้องทดลองหมายเลข 004
– ดารุ บอกเห็นแสงจากไมโครเวฟระหว่างที่โอคารินกำลังออกไปตอนเที่ยง ตรงเวลาซึ่งเป็นจังหวะที่เขาส่งเมล์ไปบอกดารุ
– พูดถึงเรื่องคุริสุถูกแทง เขาสังเกตว่าในเมล์ที่เขาส่งในวันที่ 28 ก.ค. ไปยัง 23 ก.ค. นั้น ไม่มีบันทึกไว้เลย จึงต้องพิสูจน์ด้วยวิธีอื่น
– ทดลองส่งข้อความเข้ามือถือของโอคาเบะระหว่างไมโครเวฟทำงาน แต่มายูริเดินไปเครื่องกะทันหันทำให้เกิดระเบิดและควันจำนวนมาก ปรากฏว่ามือถือของโอคาเบะได้รับข้อความ ในวันที่ 24 ก.ค. เวลา 17.30 น.
– ที่คอมพิวเตอร์ ดารุโชว์เครื่อง LHC (Large Hadron Collider) ให้ดู เป็นเครื่องเร่งอนุภาคของ SERN
– ดารุอธิบายเรื่ององค์กร SERN ที่เป็นองค์กรใหญ่ในยุโรป ที่ค้นคว้าเรื่องพลังงานนิวเคลียร์กับอนุภาคฟิสิกส์ อธิบายเรื่องผลงานวิจัยที่เด็ดๆ มากมาย ระหว่างคุยกันที่ร้าน เขาต้องการให้ดารุแฮคเข้าไปในระบบของ SERN เพื่อดูข้อมูลเรื่องไทม์แมชชีน
– สึซึฮะ บอกว่าได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันหลายเรื่อง ระหว่างนั้น มีเมล์เรื่อง IBN 5100 เข้ามา ซึ่งสึซึฮะก็สนใจ โดยบอกว่าได้ยินเรื่องนี้เพราะมีการพูดใน @Channel โดย Jonh Titor เคยพูดถึงในฐานะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เก่า และมีโปรแกรมเฉพาะ
– โอคาเบะขึ้นไปดูในห้องแชททันที ซึ่งมีการคุยเรื่องการ Divergence ของการเวลาการเปลียนแปลงอดีต และเรื่อง SERN ที่จะมีอำนาจสูงสุดในปี 2036
– จอห์น ไทเทอร์ บอกเรื่องที่ต้องการเครื่อง IBN 5100 เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต ทำให้โอคาเบะถามเรื่องปี 2000 แต่ก็ยังถูกปฏิเสธเหมือนเดิมว่าเขาไม่เคยไปยุคนั้น แต่โอคาเบะอาจเคยเห็นเขาในโลกอื่น ตัว จอห์น จึงสนใจที่จะคุยรายละเอียด
ข้อมูลที่ John Titor ส่งมาในมือถือของโอคาเบะ
* ค.ศ.2015 สงครามโลกครั้งที่ 3
* ค.ศ.2036 โลกเต็มไปด้วยกัมมันตภาพรังสีจากสงครามนิวเคลียร์
* เขามาจากปี 2036 เพื่อเอาเครื่อง IBN 5100 ซึ่งมีฟังก์ชั่นพิเศษซ่อนอยู่ มีแค่วิศวกร IBN บางคนที่รู้
– หลังพยายามทั้งคืน ดารุก็แฮคสำเร็จ มีการกล่าวถึงเรื่อง Z-Program หลายครั้ง และแบล็คโฮลที่สำเร็จ ผิดกับที่อ้างกับสื่อไว้ เมื่อค้นต่อก็พบข้อมูลเรื่องคนตายจากการทดลอง

ตอน 4 : Interpreter Rendezvous

– ถึงรู้เรื่องมีคนตาย แต่ก็มี ซอร์สโค้ด แปลกประหลาด ทำให้ดารุทำงานต่อไม่ได้
– โอคาเบะจึงเริ่มติดต่อ John Titor อีกครั้ง และพบคุริสุระหว่างไปร้านซักรีด มีเรื่องให้โต้เถียงกัน คุริสุหลุดเรื่องเคยมีปากเสียงกับพ่อ เธอคิดว่าเรื่องที่โอคาเบะเล่าสิ่งที่เขาพบและกำลังทำอยู่นี้ เป็นเรื่องไร้สาระ
– มายุริเอาเรื่องคอมพิวเตอร์ 5100 อะไรสักอย่าง ไ ปบอกเฟริสในที่ทำงานเฟริสรู้เรื่องนี้ โอคาเบะจึงต้องไปแข่งกับเธอในงานอีเวนต์
– เฟริสเคยเห็นพ่อมีก็จริง แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว สุดท้ายเห็นที่ศาลเจ้ายานาบาชิคุริสุส่งข้อความไปถามคนรู้จัก มีคนยืนยันเรื่ อง IBN 5100 มีฟังก์ชั่นพิเศษ จึงเริ่มเชื่อที่เขาพูด และไปพบรูกะพร้อมโอคาเบะ
– พ่อของรูกะบอกว่า คนที่บริจาคเคยบอกไว้ว่า จะมีคนที่ต้องการคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ขอให้ช่วยเก็บไว้หน่อย ซึ่งโอคาเบะยังเพ้อว่าเป็นชะตาของเขาที่ถูกเลือกจาก Steins Gate
– เนื่องจากรถเข็นพัง ทั้งสองจึงต้องแบก IBN 5100 กลับห้องทดลอง

ตอน 5 : Starmine Rendezvous

– ดารุต้องการอะไหล่บางส่วนก่อนซ่อมแซม IBN 5100 ระหว่างนี้มายุริจึงแนะนำห้องทดลองแก่คุริสุ
– ช่วงค่ำ โอคาเบะเจอสึซึฮะโดยบังเอิญ เธอเตือนให้ระวังคุริสุไว้ และขอเมล์มือถือโอคาเบะก่อนไปดูดอกไม้ไฟ
– ดารุแฮค Z-Program สำเร็จ และค้นข้อมูลว่าเริ่มสร้างโปรแกรมตั้งแต่ปี 1973, SERN ก่อตั้ง 1954, IBN สร้างปี 1975
– พบข้อมูลเรื่องเป้าหมายของ SERN ในศตวรรษที่ 21 และใช้ Z-Program สำหรับผ่านกาลเวลาผ่านทางโปรตรอนพลังงานสูง
– การทดลองเตรียมการของ SERN มีสี่ขั้นตอน สองขั้นแรกเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่พร้อม ขั้น 3 ทดลองกับสัตว์ และขั้น 4 ทดลองกับมนุษย์ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับรายงานที่มีคนตาย
– ค้นหารายงานของ Jellyman ปรากฏข้อมูลการทดลองย้อนอดีต ผลสรุปของผู้ถูกทดลองเหมือนกัน คือ สามารถย้อนอดีตได้ แต่พบข่าวในหนังสือพิมพ์อดีตกลายเป็นเยลลี่สีเขียว กล่าวคือ ไม่เคยมีใครรอดจากการทดลอง คุริสุคาดว่าเพราะขนาดของท่อส่งเล็กกว่าวัตถุ ทำให้สภาพร่างกายเป็นแบบนั้น
– ด้านโอคาเบะที่เหมือนจะเสียใจกับผลการทดลองพวกนั้น กลับดีใจที่ SERN ยังสร้างไทม์แมชชีนไม่สมบูรณ์ และเขาตั้งใจจะทำให้สำเร็จเป็นคนแรกในโลก

ตอน 6 : Divergence of Butterfly Effect

ระหว่างทดลอง D-Mail ได้พบข้อจำกัดในการส่ง D-Mail และเข้าใจเรื่องการส่งข้อมูลมากขึ้น โมเอกะได้มาที่ห้องทดลองเพื่อต้องการดู IBN 5100 และขอยืม โอคาเบะให้เธอเข้าร่วมห้องทดลองเขาในฐานะสมาชิกคนที่ 5

ตอน 7 : Divergence Singularity

วันที่ : 3 สิงหาคม 2010 (13.25 น.)
– ดารุ ทำโปรแกรมสำเร็จ และตั้งชื่อว่า “เครื่องไมโครเวฟโทรศัพท์ Edition 2nd Version 1.03”
– เริ่มทำการทดลองอีกครั้ง (ไมโครเวฟถูกดึงฝาเปิดถาวร) เมล์ถูกส่งให้โอคาเบะในวันที่ 29 ก.ค.
– ไม่มี Dr.Pepper เพราะหมดร้าน, คุริสุถูกโอคาเบะเรียกว่า Celeb17, เครื่อง IBN 5100 ถูกเก็บเข้ากล่อง
– ส่ง D-Mail กลับไปแก้ไขเรื่องล็อตเตอรี่ให้ถูกรางวัลที่ 3 โดยส่งไปเมื่อ 7 วันก่อน ให้รูกะซื้อ

[Divergence Meter : 0.571024 -> 0.571015] – มีเพียงโอคาเบะคนเดียวที่จำได้ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาส่งเมล์ เมื่อเรียกคุริสุว่า Celeb17 ดูเหมือนจะไม่สงสัยกับคำนี้
– จากนั้นรูกะก็มาหา พร้อมขอโทษที่ซื้อฉลากผิดไปตัวนึง, เมื่อมองไปบนโต๊ะ Dr.Pepper ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าหมด
– บนดาดฟ้า โอคาเบะเริ่มคิดหนัก ไม่มีบันทึก D-Mail ในการส่งข้อความออก แต่ทำไมเขาเป็นเพียงคนเดียวที่จำได้ว่า
– คุยกับสึซึฮะที่อยู่กับนาเอะด้านล่าง เธอเช็คว่าเขาไม่ได้โดนล้างสมอง, ได้ยินเสียงชั้นสองชัดเจนมาก และให้ไปปรึกษา John Titor เรื่องที่เขายังสงสัย ก่อนจะหลบไปทำงานต่อเพราะเจ้านายมาพอดี แต่นาโอะก็หลุดปาก ทำให้มิสเตอร์บราวน์ (Braun) โมโหเรื่องที่เห็นทีวี 42 นิ้วของเขายังเปิดอยู่
– ตอนเย็นโอคาเบะรอข้อความตอบกลับจาก John Titor จนเขาส่งข้อความตอบกลับ
– John Titor สนใจสิ่งที่เคียวมะ (นามแฝงของโอคาเบะ) อธิบาย จนถึงปี 2036 ก็ไม่เคยมีคนที่ข้ามเส้นแบ่งโลกนั้นไปได้ เคียวมะอาจเป็นคนเดียวที่มีพลังและสามารถไปสู่โลกอื่นโดยข้าม Divergence 1% นั้นไปได้ การก้าวข้าม 1% นั้นเท่านั้น ถึงจะเปลี่ยนแปลงอนาคตที่บิดเบือน และเขาต้องการให้เคียวมะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของโลก

ตอน 8 : Chaos Theory Homeostasis

วันที่ : 3 สิงหาคม 2010 (เย็น)
– เคียวมะตัดสินใจอธิบายสิ่งต่างๆ ที่เขารู้ให้กับคุริสุและดารุรู้ บวกกับสิ่งที่ John Titor บอกเขาไว้ให้ รวมถึงพลังพิเศษที่เรียกว่า “Reading Stiener”
– ทดลองส่งเมล์ให้ดารุ ถึงจะได้รับเมล์ แต่ก็ไม่มีผลอะไรในอดีต
– คืนนั้น ระหว่างโอคาเบะคุยกับคุริสุที่สวนสาธรณะ โมเอกะต้องการส่ง D-Mail บ้าง

วันที่ : 4 สิงหาคม 2010 (เช้า)
– ห้องทดลอง โมเอกะ ไม่ต้องการเปลี่ยนมือถือเมื่อ 4 วันก่อน โอคาเบะจะทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่
– ตอนกำลังจะส่ง รูกะเอาแตงโมมาฝาก หลังคุยสักพักค่อยเริ่มส่ง
[Divergence Meter : 0.571015 -> 0.523299] – ผลการส่ง ปรากฏว่าโมเอกะหายไปจากห้อง และไม่มีใครรู้จักชื่อนี้
– ข้อความที่ส่งเมล์กับโมเอกะ มีจนถึงวันที่ 31 เท่านั้น แต่ก็ยังส่งข้อความไปให้โมเอกะได้, เขาเล่าทุกอย่างให้คุริสุฟัง

วันที่ : 5 สิงหาคม 2010 (บ่าย)
– รูกะมาที่ห้องทดลอง เพื่อลองชุดคอสเพลย์ แต่จริงๆ แล้วตอนเธอจะเอาแตงโมมาขอโทษเรื่องล็อตเตอรี่ ที่หน้าห้องเธอได้ยินเรื่องย้อนอดีตโดยบังเอิญ (ที่โมเอกะหายไปจากห้อง)
– ความต้องการของรูกะ คือ ต้องการเกิดเป็นหญิง ซึ่งมีเพียงคุริสุเท่านั้นที่ไม่รู้ว่ารูกะเป็นผู้ชาย
– รูกะ เคยได้ยินว่า ถ้าให้กินผักเยอะๆ จะได้ลูกเป็นผู้หญิง ถึงทั้งโอคาเบะกับดารุจะไม่เชื่อเรื่องแบบนั้น แต่ก็ลองทำตาม
– รูกะ กลายเป็นสมาชิกคนที่ 006 ของห้องทดลอง
– เนื่องจากประมาณปี 1993 ยังไม่ใช่ยุคมือถือ (1996) จึงคิดแผนที่จะส่งเข้าไปที่เพจเจอร์แม่ของเธอเมื่อ 18 ปีก่อน ว่า “กินผักแล้วเด็กจะแข็งแรง” หลังเตรียมพร้อมก็ทำการส่ง
[Divergence Meter : 0.523299 -> 0.456903] – ทุกอย่างกลับมาที่ห้อง เห็นมายุรินั่งคุยกับรุกะอยู่ โดยโอคาเบะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของรูกะ (หน้าอก) เลยไม่ได้ถามผลลัพธ์นั้น เพราะเขาก็คิดว่าเป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น

ตอน 9 : Chaos Theory Homeostasis 1

วันที่ : 6 สิงหาคม 2010 (13.07 น.)
– คุริสุน้ำตาซึมมาที่ห้องแล็ป แต่ไม่ได้บอกเหตุผลที่ร้องไห้
– ระหว่างคุยในห้องทดลอง เมื่อถามความคืบหน้าการแฮ็ค ถึงรู้ว่าเครื่อง IBN 5100 ไม่เคยมาที่นี่
– เล่าให้คุริสุฟัง เรื่องที่ เธอเชื่อว่าเป็นไปตามทฤษฏี Butterfly Effect
– โอคาเบะโทรไปถามรูกะ ถึงรู้ว่าเครื่อง IBN 5100 เคยมีก็จริง แต่มีคนเอาไปแล้ว, มายูริแปลกเหมือนกันที่มีคนเอาคอมพิวเตอร์เก่าแบบนั้นไปบริจาควัด
– เมื่อโทรไปถามเฟริสที่เคยบอกเขาเรื่อง IBN 5100 ที่พ่อเอาไปบริจาควัด เธอกลับไม่แน่ใจ รู้แค่พ่อเธอเคยมีคอมพิวเตอร์เก่าหลายเครื่อง
– ได้ยินเรื่อง IBN 5100 พบโมเอกะเดินในย่านอากิบะโดยบังเอิญ โอคาเบะจึงวิ่งตามไป ซึ่งโมเอกะทรุดอยู่บนพื้นในตรอก พูดกับตัวเองเรื่อง FB เมื่อโอคาเบะเข้าไปถาม เธอก็ไม่รู้เรื่องเครื่อง IBN 5100 ว่าอยู่ไหน
– มายูริกลับจำโมเอกะได้ ทั้งที่ก่อนส่ง D-Mail ให้รูกะ โมเอกะไม่เคยไปห้องทดลอง แต่โลกนี้กลับเคยไปห้องทดลอง
– มาที่บ้านเฟริสในชั้นบนสุดของตึกสูง พบพ่อบ้านของเฟริส แล้วก็พบเฟริส ได้รู้ว่าตระกูลของเธอเป็นเจ้าของพื้นที่อากิบะ กับชื่อจริงของเ เฟริส คือ อากิฮะ รูมิโฮะ รวมถึงเรื่องที่ทำให้ที่นี่ กลายเป็นศูนย์รวมของความโมเอะ
– เฟริสต้องการขอใช้ D-Mail แลกเปลี่ยนกับเรื่องเครื่อง IBN 5100 โดยให้เธอเป็นสมาชิกคนที่ 007 ของชมรม (โอคาเบะเกิดความลังเล กับการส่ง D-Mail เพราะความบิดเบือนที่เกิดขึ้น)
– ข้อความเฟริสต้องการส่งย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ไม่ให้โอคาเบะดู อ้างว่าเป็นความลับของผู้หญิง
– เขาจึงโทรใป(ขอร้อง)ให้คุริสุตั้งค่าเครื่องจากที่ห้องทดลอง ก่อนจะส่งเมล์จากบ้านของเฟริส

[Divergence Meter : 0.456903 -> 0.409420] – สิ่งที่ต่างจากเดิม คือ พ่อของเฟริสยืนในห้อง แต่ไม่เห็นพ่อบ้าน
– โอคาเบะจึงถามพ่อของเขาว่าบริจาคให้ศาลเจ้าหรือไม่ ? ปรากฏว่าเขาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำแบบนั้น
– หลังจากออกจากอาคาร ถึงเพิ่งสังเกตว่าย่านนากาโนะกลายเป็นย่านการค้าแทนอากิบะ และอากิบะกลายเป็นเพียงที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าธรรมดาเท่านั้น

ตอน 10 : Chaos Theory Homeostasis 2

– ถึงย่านอากิบะ กับร้านเมดคาเฟ่ที่ไปประจำจะเปลี่ยนไป แต่พวกเขาก็ยังรู้จักกับเฟริสด้วยเหตุผลที่ต่างไปจากเดิม

วันที่ : 8 สิงหาคม 2010 (11.58 น.)
– ระหว่างคุยเรื่องชุดว่ายน้ำในห้องทดลอง มีเพียงโอคาเบะที่ไม่รู้ว่ารูกะเป็นผู้หญิง เนื่องจากไปพิสูจน์เลยโดนลงโทษ
– ลงมาคุยกับสึซึฮะ แล้วไปขี่จักรยานเล่นกัน หลังพักก็รู้เรื่องที่เธอตามหาพ่อในโตเกียว จำหน้าไม่ได้ เบาะแสชิ้นเดียวคือเข็มกลัดที่ได้จากพ่อ เธอหวังว่าจะพบพ่อในวันพรุ่งนี้ ถ้าพลาดเธอคงออกจากเมือง
– โอคาเบะเสนอให้เธอเป็นสมาชิกคนที่ 008 ของชมรม และพรุ่งนี้ถึงหาไม่พบจะให้ส่ง D-Mail ไปหยุดพ่อของเธอ และให้เธอมาที่ห้องทดลองในคืนวันพรุ่งนี้เพื่อจัดงานเลี้ยง

วันที่ : 9 สิงหาคม 2010 (15.42 น.)
– เขาต้องการเลี้ยงฉลอง เผื่อสึซึฮะพบพ่อและออกจากเมืองหลังจากนั้น ในห้องทดลอง
– มีเมล์มือถือมาโอคาเบะครั้งแรกว่าจับตาดูอยู่ แนบรูปเป็นเยลลี่สีแดง
– (19.07 น.) โอคาเบะเริ่มระแวง แทนที่จะสะกดรอยตามสึซึฮะตามที่คิดไว้ ต้องไปซื้อของเตรียมงานเลี้ยงพร้อมมายูริแทน
– มายูริจำคำพูดตอนประถมของเขาได้ ทำให้เขาคิดว่าเรื่องป่วยหนักในตอนเด็กช่วงปี 2000 (Y2K) อาจเป็นเหตุผลที่ได้ความสามารถ Reading Steiner มา
– ระหว่างเตรียมงานปาร์ตี้ มีการลองอุปกรณ์แห่งอนาคตบางชิ้น ทำให้ไฟตัด และโอคาเบะได้คุยกับคุริสุ เธอพอใจกับบรรยากาศที่ต่างจากห้องทดลองในอเมริกา
– ผ่านไปจนถึง 5 ทุ่ม สึซึฮะก็ยังไม่มา เขาออกมารอข้างนอกได้ข้อความบอกเพียง ขอโทษนะ, ลาก่อน (เวลาบันทึก 21.09)
– ฝนตกเริ่มตกลงมาอย่างหนัก กลางสายฝนเขาคิดจะใช้ D-Mail อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น (เชื่อว่าเมล์ต้องส่งตอนกลางวัน – เย็นเท่านั้น) โดยคิดว่าจะเป็น Mad Scientist ต้องไม่สนเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
– ก่อนตัดฉาก มีภาพตึกที่เคยถูกวัตถุลึกลับคล้ายดาวเทียมชน แต่ดาวเทียมนั้นกลับหายไป

วันที่ : 10 สิงหาคม 2010 (12.02 น.)
– โอคาเบะส่ง D-Mail เพื่อสะกดรอยตามสึซึฮะ บังคับให้ไปงานปาร์ตี้ และไม่สนคำเตือนที่มีคนส่งมา
[Divergence Meter : 0.409420 -> 0.337187] – สึซึฮะนั่งอยู่หน้าร้านด้านล่าง และบอกปาร์ตี้เมื่อคืนสนุกมาก
– ถามถึงก่อนหน้านั้น เธอไปมีตติ้งบอร์ดไทม์แมชชีน หวังจะพบพ่อที่ชื่อ Barrel Titor แต่ก็ไม่พบ
– ทิ้งท้ายตอนด้วยรูปผีเสื้อกำลังบินในความมืด และสึซึฮะตั้งใจจะตามหาพ่อต่อไป

ตอน 11 : Dogma in Event Horizon

วันที่ : 10 สิงหาคม 2010 (15.00 น.)
– ให้สึซึฮะไปดึงความสนใจมิสเตอร์บราวน์ 5 วินาที บังเอิญเศษหินตกใส่รีโมตทีวี ทำให้ไมโครเวฟด้านบนหยุดทำงาน ทำให้โอคาเบะรู้ว่าตัวแปรจริงๆ อยู่ที่เครื่องทีวีข้างล่าง
– คุริสุ เข้าใจว่าเครื่องทีวี 42 นิ้วนั้น ทำงานเสมือนลิฟเตอร์ที่พวก SERN ใช้ และคิดวิธีส่งข้อมูลมากกว่า 36 Byte กลับไปอดีต โดยจะสร้างเครื่องที่อ่านความทรงจำ (3.24T) เปลี่ยนเป็นคลื่นไฟฟ้า แล้วใช้หลักการแบบ D-Mail
– ปัญหาแรก คือ ไม่น่าจะบีบข้อมูลได้ถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังเตรียมอะไหล่เท่าที่จำเป็นไว้
– ตอนเย็นพบกับโมเอกะ เธอถามว่าทิ้งเครื่องไทม์แมชีนไปหรือยัง ? ได้ยินความคืบหน้าเรื่องการส่งความทรงจำ
– ระหว่างทางสึซึฮะพานาเอะ โดยนาเอะขอโทษโอคาเบะเรื่องที่พ่อทำร้ายเขา
– เมื่อได้ยินเรื่องที่ต้องไปซื้ออะไหล่ให้คุริสุ ทำให้สึซึฮะที่กำลังเดินจากไป บอกว่าคุริสุเป็นพวก SERN
– พอสังเกต ถึงรู้ว่าคุริสุเล่นบอร์ด @Channel เหมือนกัน และได้ฉายาใหม่ ชาว 2ch สักพักก็ออกไปคุยเรื่องที่เธอมีปัญหากับพ่อเรื่องการทดลองที่เธอก้าวหน้าเกินพ่อไป

วันที่ : 11 สิงหาคม 2010
– คุริสุโมโหที่เขาเอาขนมเธอไปกินแล้วยังใช้ช้อนเธออีก โอคาเบะเลยบอกว่าเธอเคยเอาส้อมเขาไปใช้เหมือนกัน
– ระหว่างซื้อของมีเมล์มาเตือนอีกครั้ง ว่าเขารู้มากเกินไป แนบรูปตุ๊กตาเปื้อนเลือดมา
– เมื่อนึกได้ว่าห้องทดลองมีแค่ผู้หญิงอยู่สองคน จึงโทรไปห้องทดลองไม่ติด จึงรีบวิ่งไปที่ห้องทดลอง ในขณะที่คุริสุกับมายูริกำลังอาบน้ำพอดี
– ดารุมาที่ห้องเพราะรู้สึกแปลกๆ กับคอมพิวเตอร์ข้างนอก พบว่าคอมพิวเตอร์ที่แฮค SERN กลับเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางได้ เหมือนกับจงใจปล่อยให้ติดต่อเข้าไป คุริสุคิดว่าบางที SERN อาจจะรู้เรื่องถูกแฮคแล้ว แต่ดารุคิดว่าไม่พลาดก็ไม่น่าจะจับได้ ถึงยังไงตอนนี้ก็สามารถควบคุมระบบของ LHC ได้โดยตรงจากที่นี
– จบที่โอคาเบะกำลังคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น และ SERN น่าจะรู้เรื่องที่เขาทำ

ตอน 12 : Dogma in Ergosphere

– โอคาเบะฝันถึงโลกใน 70 ล้านปีก่อนที่มาด้วยไทม์แมชชีน มายูริเห็นโลกต่างๆ วิ่งไล่ตามโอคาเบะไป ทั้งสองเป็นต้นแบบของตัวเองอีกจำนวนมากในหลายโลกอนาคต ทั้งสองจะตายในโลกนี้ ก่อนจะเห็นมายุริสลายไป

วันที่ : 13 สิงหาคม 2010 (13.59 น.)
– เครื่องไทม์ลิป (Timeleap Machine) เสร็จสมบูรณ์ โดยใช้เครื่อง LHC จาก SERN ในการส่งข้อมูลมากกว่าเดิม
– หลักการทำงาน คือ ให้เครื่อง LHC สร้างหลุมดำ บีบอัดข้อมูลขนาด 3.24 เทราไบต์ให้กลายเป็น 36 Byte ส่งข้อมูลกลับไปได้ไกลสุด 48 ชั่วโมง มากกว่านั้นอาจจะไม่สำเร็จ
– การทำลองจำเป็นต้องใช้คนทดลองด้วย แต่โอคาเบะจะไม่ทดลอง เลือกที่จะประกาศเรื่องผลการทดลองให้โลกรู้ และให้บริษัทที่เหมาะสมได้รับมันไป
– มีการจัดเลี้ยงฉลองตอนค่ำ โดยสึซึฮะเข้าร่วมด้วย เธอทะเลาะกับคุริสุ ซึ่งคุริสุไม่เข้าใจว่าตัวเองจะเป็นสายลับของ SERN ตามที่ถูกกล่าวหาได้อย่างไร สุดท้ายมายุริก็สงบศึกทั้งสอง
– มีข่าววางระเบิดสถานีรถไฟ ทำให้รถหยุดเดิน ระหว่างนั้นสึซึฮะเลยถามว่าฉลองการทดลองสำเร็จใช่หรือไม่ ? และยังแฮคระบบของ SERN ได้โดยตรงอีก ทำให้สึซึฮะหันไปมองโดยรอบ เหมือนจะบอกอะไรแต่ก็หยุด แล้วขอตัวออกไปจากห้อง
– สักพัก ก็มีผู้ชายสวมหน้ากากพร้อมอาวุธปืนบุกห้อง โมเอกะเป็นหัวหน้า บอก SERN จะขอรับไทม์แมชชีนไป พร้อมทั้ง 3 คนที่เกี่ยวข้อง แล้วบอกว่ามายูริไม่จำเป็นจึงเหนี่ยวไกปืน กระสุนเจาะหน้าผากมายุริล้มลง ต่อหน้าโอคาเบะ

ตอน 13 : Metaphysical Necrosis

– โมเอกะ ขู่โอคาเบะที่ไม่ยอมฟัง แต่สึซึฮะก็มาขวางไว้ จนเหลือเพียงโมเอกะคนเดียว สึซึฮะบอกว่าทีวี 42 นิ้วข้างล่างเปิดอยู่
– โอคาเบะตัดสินใจใช้เครื่องไทม์ลีปทันที โดยไม่สนใจผลที่จะเกิดขึ้น ก่อนจากไปคุริสุถูกยิง
– (16.56 น.) โอคาเบะกลับมา แล้วตามหามายูริ โดยไปหาที่ศาลเจ้าก็ไม่พบ เพราะมายูริออกไปก่อน
– คุริสุรู้ว่าผิดสังเกต และรู้ว่ามาจากเครื่องไทม์ลิป แต่เขายังบอกรายละเอียดไม่ได้
– หลังพบมายูริตอนค่ำก็พาหนี ระหว่างไปที่รถไฟ ก็ถูกพบพวกคนในองค์กร SERN พบระหว่างทาง แต่ก็บังเอิญหนีมาได้
– สุดท้าย มายูริถูกรถชนระหว่างที่หนีจากพวกองค์กร SERN ตายทันที ทำให้เขาต้องรีบหนีไปใช้ไทม์ลีปอีกครั้ง
– (16.17 น.) โอคาเบะสงบขึ้น และให้รูกะหยุดมายูริไว้ และพาเธอไป
– เขาสังเกตเห็นมีคนติดตามอยู่ จึงพามายุริหนี แล้วใช้รถไฟใต้เพื่อหนีไปให้ไกลที่สุด
– ระหว่างนั้น นาเอะจะเข้ามาทักแต่ก็พลาด สะดุดล้มไปชนมายุริ ร่างของมายุริตกไปที่รางรถไฟ และถูกรถไฟทับร่าง ต่อหน้าโอคาเบะและนาเอะ

ตอน 14 : Physically Necrosis

– ความพยายามช่วยเหลือมายุริหลายครั้งต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะทำแบบเดิมอีกสักกี่ครั้งก็ล้มเหลว มายูริตายทุกครั้ง
– เขาตัดสินใจพบโมเอกะโดยตรงก่อนถึงเวลานั้น ขู่ให้เธอบอกความจริง เธอจึงบอกว่าเธอเป็น เราเดอร์ (Rounder) มีภารกิจให้หา IBN 5100 กลับมา แต่เธอยังไม่ได้ครอบครองเครื่องนั้น
– โมเอกะจึงบอกว่า เหตุผลที่บุกมี 3 อย่าง คือ พวกเขารู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ , สร้างไทม์แมชชีนสำเร็จ และตั้งใจประกาศให้สาธารณะชนรู้เรื่องนี้
– ก่อนโดนทุบให้หมดสติ โมเอกะพูดว่าได้รับคำสั่งมาจาก FB ผู้เป็นทุกสิ่งของเธอ
– โอคาเบะพยายามจนหนีมาจากรถที่จับเขาได้ แต่ก็พบร่างมายุริถูกฆ่าเหมือนเดิม แล้วก็พยายามหนี
– (16.56 น.) โอคาเบะทนไม่ไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น และหมดความพยายามหลายอย่าง จนคุริสุมาคุยกับเขาระหว่างทาง
– โอคาเบะตัดสินใจบอกทุกอย่างกับเธอ ซึ่งคุริสุให้กำลังใจเขา และแนะนำวิธีให้ (เป็นครั้งแรกที่โอคาเบะเรียกเธอด้วยชื่อจริง)
– เครื่องถูกตั้งไว้ให้ย้อนกลับไปก่อนที่สร้างเท่านั้น ที่ผ่านมาจึงย้อนได้แค่ 5 ชั่วโมง เพื่อป้องกันกรณีเกิดเครื่องสร้างไม่เสร็จ แต่สามารถย้อนกลับไปได้ไกลกว่านั้น เพียงแต่โอคาเบะต้องไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอดีตจนกว่าจะสร้างเครื่องไทม์ลีปเสร็จ
– เธอให้คีย์เวิร์ดเป็นหลักฐานเพื่อยืนยันให้ตัวเองในอีกโลกเชื่อ “ของที่เธออยากได้ที่สุดตอนนี้เป็นส้อมของตัวเอง เพราะตอนนี้มีช้อนอยู่แล้ว” (จากตอน 11)
– (13.59 น.) หลังสร้างเครื่องเสร็จ โอคาเบะขอคุยกับคุริสุตามลำพัง
– ถึงในอนาคตที่ผ่านมา คุริสุจะเคยบอกให้พูดแค่เขามาจากอนาคตก็ทำให้เธอเชื่อ แต่คุริสุโลกนี้กลับเมินเฉย จึงต้องใช้คีย์เวิร์ดเผื่อไว้ ทำให้คุริสุอายที่ตัวเองในอีก 5 ชั่วโมงพูดแบบนั้น
– โอคาเบะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และคุริสุวิเคราะห์เวลาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถึงพวกเราเดอร์จะเป็นต้นเหตุให้ตายส่วนใหญ่ แต่สาเหตุอื่นก็ยังมี เหมือนเป็นโชคชะตา
– สึซึฮะปรากฏตัว บอกถึงเรื่องการย้อนอดีตไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ง่ายๆ จำเป็นต้องข้ามกำแพงการไดเวอร์เจนต์ 1% ไปยังเส้นโลก Beta
– ในตึกที่ถูกดาวเทียมชน สึซึฮะนำเครื่อง Divergence Meter มาให้ดู ซึ่งเครื่องนี้จะบอกค่าการไดเวอร์เจนต์ของโลกและเวลาปัจจุบัน และบอกว่าเขาเป็นคนสร้างขึ้นมาจากอนาคต จากความสามารถของเขาเอง
– สึซึฮะอธิบายว่าโลกเหมือนเชือกที่ประกอบเชือกเล็กๆ อีกมากมาย ที่มุ่งไปเส้นเดียวกับเชือกอื่น
– ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จนเกิน 1% เพื่อเปลี่ยนจากโลก Alpha ไปยังโลก Beta ระหว่างนั้นเธอเข้าไปเปิดประตูในตึกให้
– ก่อนหน้านี้ การใช้ D-Mail หรือย้อนอดีตจะแก้ไขอดีตไม่ได้ จนเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เกิดเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างในอดีต เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซียปี 1991, Y2K และไทม์แมชชีนสำเร็จในปี 2010
– สึซึฮะเปิดเครื่องที่เหมือนดาวเทียมชนตึก บอกว่านี่เป็นไทม์แมชชีน ตัวตัวเองมาจากปี 2036 หรือคนที่ใช้นามแฝงว่า John Titor นั่นเอง

ตอน 15 : Missing Link Necrosis

– ปี 2036 SERN ได้ครองโลก ไม่มีใครขัดขืนได้ ตัวสึซึฮะอยู่ในกลุ่มผู้ต่อต้าน และใช้ไทม์แมชชีนที่พ่อทิ้งไว้ให้ย้อนเวลากลับมา
– เครื่องถูกตั้งเวลาไว้ ในวันที่ 28 ก.ค. ปี 1975 แต่เมื่อมองเข็มกลัดของพ่อ เธอเลือกเปลี่ยนตัวเลขเป็น 2010 แทน
– คนที่เถียงในบอร์ดไทม์แมชชีน เป็นคุริสุ (นามแฝง ข้าวหน้าเกาลัดกับพลังคลื่นเต่า)
– ในอนาคต คุริสุถูกยกย่องให้เป็นคนที่มีส่วนร่วมในการสร้างไทม์แมชชีนมากที่สุด ถึงกับเป็นมารดาแห่งไทม์แมชชีน
– โอคาเบะเป็นคนตั้งองค์กรต่อต้าน SERN
– เป้าหมายสึซึฮะ คือ ไปในยุค 1975 เพื่อหยุด SERN ที่สร้างไทม์แมชชีนสำเร็จ และควบคุมการสื่อสารเพื่อคุมการสื่อสารทั้งหมดบนโลกที่เกี่ยวกับไทม์แมชชีน
– เป็นไปได้ว่า D-Mail ฉบับแรกที่โอคาเบะส่ง จะถูกส่งเข้าไปในระบบของ SERN เพื่อไม่ให้เป็นฐานข้อมูลให้กับพวก SERN จำเป็นต้องลบข้อความเหล่านั้นออกไป
– การแฮคฐานข้อมูลของ SERN จำเป็นต้องใช้ IBN 5100 และนั่นเป็นภารกิจของเธอเพื่อไปค้นหามันในอดีต
– ปรากฏเครื่องไทม์แมชชีนใม่สามารถใช้งานได้ โดยไม่ทราบสาเหตุ พอดีมียามมาพบเลยต้องออกจากตึก
– มีความเป็นไปได้ที่จะโดนฟ้าผ่า หรือน้ำฝนเข้า ทำให้โอคาเบะบอกว่าเขาเคยส่ง D-Mail เพื่อห้ามเธอออกเดินทางไปครั้งนึง
– แผน คือ ส่งโอคาเบะต้องย้อนเวลากลับไป 5 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ แล้วย้อนเวลาซ้ำอีกครั้งเมื่อ 48 ชั่วโมงเพื่อซ่อมไทม์แมชชีนให้เสร็จในสองวัน

[Time Leap : 13 ส.ค. -> 11 ส.ค.] – เขาพาทุกคนไปดูไทม์แมชชีน แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง โดยดารุจะซ่อมเครื่อง, คุริสุสร้างเครื่องไทม์ลิป
– สังเกตว่าเข็มกลัด เขียนคำว่า OSHM***A 2010 เอาไว้
– ดารุรู้สึกว่าโครงสร้างคล้ายเครื่องโทรศัพท์ไมโครเวฟ
– ถ้าซ่อมไทม์แมชชีนสำเร็จ ดารุสัญญาว่าจะช่วยตามหาพ่อให้ ก่อนที่สึซึฮะจะกลับมาในยุคนี้ …. แต่สึซึฮะน้ำตาไหล
– ที่ห้องทดลอง คุริสุเห็นอุปกรณ์แห่งอนาคตชิ้นที่ 2 เขียนไว้ว่า Alternate Edition Version 2.67 เป็นกล้องคอปเตอร์ไม้ไผ่ แต่ก็ไม่สมบูรณ์อยู่ดี เพราะจริงๆ เป็นอันแรก โดยดารุติดนิสัยชอบเติมเวอร์ชันต่อท้ายแม้จะเป็นอันแรกที่สร้าง
– สึซึฮะนำเครื่อง Divergence Meter มาให้ที่ห้องทดลอง ซึ่งเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ Reading Steiner ได้ เธอไม่ได้รับไอเทมนี้ และเคยพบโอคาเบะสักครั้ง รู้เพียงเขาเป็นผู้ก่อตั้ง
– (12 ส.ค.) ถึงพยายามค้นหา ก็ไม่มีใครเคยเห็นเข็มกลัดนั้น จนไปถามคนต่างชาติที่ขายเครื่องประดับ เหมือนจะจำบางอย่างได้แต่สื่อสารไม่ถูก โอคาเบะเลยให้เบอร์ติดต่อไว้
– เห็นมายูริแจกใบปลิวที่มีรูปเข็มกลัดอยู่ ว่าพ่อของคนชื่ออามาเนะโดนลักพาตัว ทำให้ต้องหนีเพราะตำรวจตาม
– ที่เครื่องไทม์แมชชีน ระหว่างที่หยอกล้อกันนั้น มายูริรู้สึกว่าสึซึฮะกับดารุดูเข้ากันได้ดี
– ได้รับการติดต่อจากเจ้าของร้านเรื่องเข็มกลัด โอคาเบะจึงรีบไปหา

ตอน 16 : Sacrificial Necrosis

– เจ้าของร้านเข็มกลัดส่งเข็มกลัดให้ไปแล้ว บอกได้แค่เป็นคนตัวใหญ่เหมือนถังเบียร์ (Taru) กับบอลลุน ที่เหลือเป็นข้อมูลที่บอกไม่ได้ โอคาเบะ รอให้สร้างเครื่องย้อนเวลาเสร็จในวันต่อไป แล้วค่อยไปพบ

[Time Leap : 13 ส.ค. -> 11 ส.ค. (18.35 น.)]

– คนที่สั่งทำเข็มกลัด คือ ดารุ ซึ่งเขาต้องการทำเข็มกลัดปลอม แล้วหาคนปลอมเป็น Barrel Titor เพื่อทำให้ซึสึฮะสบายใจขึ้น ตัวโอคาเบะไม่เห็นด้วยกับวิธีโกหกแบบนั้น ทำให้ดารุ ถอนหายใจ ก่อนบอกสิ่งที่สึซึฮะห้ามบอกโอคาเบะ คือ ไทม์แมชชีนทำได้แค่ย้อนเวลาเท่านั้น และห้ามบอกโอคาเบะ (พูดกันตอนก่อนระหว่างซ่อมเครื่อง)
– เมื่อซ่อมแซมเครื่องย้อนเวลาเสร็จ มายูริสังเกตเห็นตัวเลข FG204 ข้างเครื่องไทม์แมชชีน โอคาเบะยกจักรยานที่รักให้เธอเอาไปด้วย
– มายูริสรุปว่า พ่อของสึซึฮะ คือ ดารุ ชื่อจริงเขา Taru ที่หมายถึง Barrel, เป็นผู้ร่วมตั้งองค์กรกับโอคาเบะก็น่าจะสนิทกัน และชื่อของไทม์แมชชีน ย่อจาก Future Gadget และมีคำว่า 2nd EDITOIN Version 2.31 ซึ่งเป็นนิสัยตั้งชื่อของดารุ
– หลังจากได้พบพ่อตามความต้องการ สึซึฮะจึงเดินทางไปยังอนาคตต่อ โดยสัญญาว่าจะกลับมาพบในอีก 35 ปีข้างหน้า เข็มกลัดเป็นตัวนำหน้านามสกุลของสมาชิก OSHM***A 2010 ได้แก่ โอคาเบะ, ชิอินะ , ฮาชิดะ, มาคาเสะ,* , * , * , อามาเนะ (เว้นของรูกะ, เฟริส และโมเอกะ ไว้)
– เครื่อง Divergence Meter ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ จนสงสัยว่า ถ้าได้ IBN 5100 มา จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่ ?
– ระหว่างคุยเรื่อง ลูกที่แก่กว่าตัวดารุ 35 ปี และคุยเรื่องหลานและเหลนที่อาจจะได้พบ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่เป็นของเจ้าของบ้าน พร้อมจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งจากฮาชิดะ สึซึฮะ ที่เขารับฝากไว้ ส่วนฮาชิดะ สึซึฮะ ตายไปเมื่อ 10 ปีก่อน !!

– เนื้อความในจดหมาย (เขียน 13 มิ.ย. 2000) เขียนคำว่า “ชั้นทำพลาด” ตอกย้ำหลายครั้ง
– อธิบายว่าเครื่องไทม์แมชชีนไม่สมบูรณ์ ทำให้เธอเสียความทรงจำไปตลอด 24 ปีที่ผ่านมา เมื่อเธอจำได้ทุกอย่างก็สายเกินไปที่จะชิงเครื่อง IBN 5100 มา ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา
– เธอไม่โทษโอคาเบะและพ่อ ทั้งหมดเป็นความผิดพลาดของเธอเองที่ไม่ยอมไปปี 1975 โดยตรง กลับมาอยากพบพ่อในปี 2010 เธอไม่สามารถให้อภัยตัวเองที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่านั้นได้
– เธอยังกล่าวถึงวันที่โอคาเบะห้ามสึซึฮะนั้น เกิดฝนตกและน้ำฝนทำให้เครื่องไทม์แมชชีนเสีย เธออยากให้โอคาเบะแก้ไขไม่ให้ห้ามเธอในวันนั้น ก่อนทิ้งท้ายเรื่องความสูญเปล่าในชีวิตของเธอ
– ทุกคนที่กำลังเศร้า ไปถามมิสเตอร์บราวน์ จึงรู้เรื่องที่สึซึฮะผูกคอตายในบ้านตัวเอง โดยก่อนหน้านั้น 1 ปีเธอเริ่มสติไม่ดี ทั้งที่เคยเป็นคนใจดี จากนั้นในห้องทดลอง
– โอคาเบะกล่าวโทษตัวเองที่ทำพลาดไป จึงตัดสินใจ ใช้ D-Mail เพื่อยกเลิกการยับยั้งนั้น แม้จะต้องแลกกับความทรงจำที่ได้อยู่ร่วมกันกับสึซึฮะในช่วงที่ซ่อมแซมไทม์แมชชีนก็ตาม

[Divergence Meter : 0.409031 <- 0.337187 (ตัวเลขเริ่มกลับมาทาง 1.0)] * ภาคเกมเป็น 0.409431 แตกต่างนิดหน่อย *
– โอคาเบะไปพบมิสเตอร์บราวน์ จึงรู้ว่าชะตากรรมส่วนใหญ่ยังเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการตาย เป็นป่วยตาย และไม่มีจดหมายทิ้งไว้
– ส่วนนามสกุลที่ใช้และปีที่ตาย รวมถึงจักรยานที่ชอบก็ยังคงนำมาในอดีตด้วย ยังคงเดิม แม้จะไม่ได้มีความทรงจำกับพวกเขาหลังงานปาร์ตี้ก็ตาม (โชคชะตา)
– หลังมิสเตอร์บราวน์อธิบายเรื่องบ้านไฟไหม้จนมาพักที่บ้านหลังนี้ ก่อนมอบเครื่องนับตัวเลขแปลกๆ ที่สึซึฮะก่อนตายในโรงพยาบาลว่าทำให้มันเปลี่ยนไปหรือยัง (เหมือนในปีที่ตาย ยังไม่เปลี่ยน)
– ห้โอคาเบะจึงรู้ว่าตัวเลขที่ปรากฏบน Divergence Meter เปลี่ยนไปแล้ว
– ช่วงค่ำในวันนั้น (13 สิงหาคม) รถไฟยังคงเปิดให้บริการตามปกติโดยไม่มีการขู่วางระเบิด, ไม่มีการบุกรุกขององค์กร SERN และมายุริยังคงปลอดภัยนอนหลับในห้องทดลอง

ตอน 17 : Made in Complex

วันที่ 14 สิงหาคม 2010 (19.37) น.
– เมื่อวาน (13 ส.ค.) หลังจากกลับจากโลกที่มิสเตอร์บลันให้ Divergence Meter แก่เขา ยังไม่เกิดสิ่งปกติ
– ทุกอย่างกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง (พวก Rounder ของ SERN บุก, มายูริไม่รอด)

วันที่ 13 สิงหาคม 2010 (17.02) น. [Time Leap ครั้งที่ 1] – โอคาเบะขอความช่วยเหลือจากคุริสุอีกครั้ง โดยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
– คุริสุรู้ว่าต้องการเปลี่ยน Worldline เท่านั้น ถึงจะทำให้มายูริไม่ตาย แต่ต้องใช้ IBN 5100 ที่เคยได้พบในโลกแรก เพื่อจัดการแฮคเข้าไปลบความข้อมูลเกี่ยวกับพวกตนจากฐานข้อมูลขององค์กร SERN
– คุริสุสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่นับจากเปลี่ยนเลขล็อตเตอรี่ครั้งแรก โดยสังเกตว่ามายูริตายช้าไปวันนึง (14 ส.ค.) น่าจะเป็นผลจากการแก้ไขในเวิล์ดไลน์
– โอคาเบะต้องแก้ไขความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดจาก D-Mail เพื่อให้กลับไปสู่ครั้งแรกที่ได้รับ IBN 5100 อีกครั้ง
– ก่อนใช้ Time Leap Machine คุริสุบอกน่าเสียดายที่คงจำไม่ได้ว่า เขาเคยเรียกชื่อจริงของเธอ

วันที่ 13 สิงหาคม 2010 (16.17) น. [Time Leap ครั้งที่ 2] – สิ่งแรกที่เขาต้องแก้เป็นอันดับแรก คือ D-Mail ของเฟริส ซึ่งไม่รู้ว่าขออะไร เพราะเธอปิดบังข้อความไม่ให้เขารับรู้ก่อนส่ง
– เมื่อสอบถามดารุ จึงรู้ว่าเธออยู่ที่ UPX Arena แข่ง Rai-Net ABGC (Access Battlers Grand Championship) รอบสุดท้าย ซึ่งเป็นการแข่งระดับประเทศญี่ปุ่น
– เฟริสพาเคียวมะ (โอคาเบะ) หนีไปด้วย โดยเธอกำลังถูกไล่ล่าโดนกลุ่มผู้เล่นที่ต้องการชนะในรอบชิง
– เขาจึงขอตั้งสมมุติฐานถามเฟริสว่า ถ้าอยากทำให้ย่านอากิ บะเป็นเมืองแห่งโมเอะได้ ควรจะทำอย่างไรเธอเคยบอกให้พ่อตั้งร้านเมดที่อากิบะแห่งนี้ แต่พ่อคัดค้าน
– เคียวมะ รู้ว่าร้านนั้นชื่อ May Queen เฟริสแปลกใจเพราะเธอไม่เคยบอกแม้แต่พ่อม าก่อนเขาจึงเล่าเรื่อง D-Mail ให้เฟริสฟัง ทำให้เธอแปลกใจแล้วเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้
– เคียวมะ หนีไปถึงร้านที่เคยตั้ง May Queen และพูดเรื่องที่เคยมาร้านเมดคาเฟ่นี้กลับทุกคน
– เฟริสเริ่มได้ยินเสียงความทรงจำหลายๆ อย่างผุดขึ้นมาในสมอง ราวกับเธอเคยผ่านโลกนี้มาก่อน
– ถ้าแก้ไขเรื่อง D-Mail ไม่ได้ มายูริจะต้องตาย เฟริสจึงบอกว่า D-Mail นั้น ทำให้พ่อของเธอไม่ต้องตายเมื่อ 10 ปีก่อน
– ศัตรูมาถึงพอดี และลากเคียวมะ ไปซ้อมหลังร้าน จนมีรถมาช่วย โดยคนขับเป็นพ่อบ้านของเธอ มาพร้อมกับพ่อของเฟริส โดยมีคนโทรมาจากโทรศัพท์ใช้ชื่อ C203
– ที่บ้าน พ่อของเฟริสขอบคุณต่อเขา ด้านเคียวมะ ถามเรื่องเครื่อง IBN 5100
– ฮาชิดะ สึซึฮะ เป็นคนมอบเครื่อง IBN 5100 ให้แก่พ่อของเฟริส เพื่อส่งมอบให้เคียวมะ ทางอ้อมนั่นเอง
– ตอนเด็กเฟริสเคยถูกลักพาตัวไป และบริษัทของพ่อก็ยังไม่ใหญ่โตนัก มีคนเสนอซื้อ IBN 5100 ในราคาที่สู ง เพื่อใช้เป็นค่าไถ่ของเธอระหว่างอยู่คนเดียวในห้องที่บ้านของเฟริส ภาพตอนเฟริสพูดเรื่อง D-Mail เพื่อปกป้องพ่อของเธอย้อนกลับมา
– เฟริสมาหาเขาในห้อง เธอพูดถึงเรื่องที่เธ อหวาดกลัวในตอนนั้น และให้เขาเรียกว่า รูมิโฮะก็ได้เธอบอกว่าเคียวมะ เปรียบเหมือนเจ้าชายของเธอ
– เมื่อ 10 ปีก่อนตอนเขา 8 ปีก่อน พ่อสัญญาว่าจะพาเธอไปเที่ยวแต่ติดงานทำให้เธอเกลียดพ่อมาก อยากให้เขาตายไปซะ และก็เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตก ทำให้เธอเสียพ่อไป
– D-Mail ในโลกก่อน เขียนเรื่องการเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 100 ล้านเยน เพื่อให้เขาไม่ขึ้นเครื่องบินลำนั้น และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงย่านอากิบะ
– เฟริสจึงบอกว่า จะเขียน D-Mail ที่ทำให้พ่อของเธอตายตามที่ควรจะเป็น และทุกอย่างตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้
– ความทรงจำระหว่างเธอกับพ่อจนถึงวันนี้ คงเหลือเพียงแค่ความฝัน
– เขาต้องการหาหนทางอื่นจากคุริสุ แต่เฟริสบอกไม่ต้องการสร้างปัญหาให้เขาอีก เฟริสขอร้องไห้บนแผ่นหลังของเขา

วันที่ 14 สิงหาคม 2010 (เที่ยง) [Time Leap ครั้งที่ 2] – วันต่อมา โอคาเบะให้คุริสุเตรียมพร้อมที่จะส่ง D-Mail จากในห้องทดลอง
– D-Mail ฉบับใหม่ มีเนื้อความว่า “เรื่องเรียกค่าไถ่เป็นแค่เรื่องล้อเล่น หนูรักพ่อค่ะ ไว้เจอกันนะคะ”
– เฟริสสงสัยว่าความทรงจำจะหายไปหมดหรือไม่ เคียวมะยืนยันว่าเธอจำสิ่งที่เกิดในโลกก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้นน่าจะยังคงจำได้
– เธอจึงบอกไม่อยากลืมความทรงจำที่อยู่กับเคียวมะตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ ก่อนจะพูดกล่าวลาปะป๋าของเธอ

[Divergence Meter : 0.456914 <- 0.409031] – หลังจากมาถึงโลกใหม่ เฟริสในชุดเมด มาหาเขาเพื่อทวงโทรศัพท์ในกระเป๋าเขา และพูดหลายเรื่อง โอคาเบะได้แต่จ้องมองเธอ
– เมื่ออีกคุริสุไม่พอใจที่โอคาเบะจับไหล่เฟริส เฟริสจึงกอดแขนของโอคาเบะ แล้วบอกว่าทั้งสองเคยต่อสู้กับความมืดมาก่อน เหมือนความทรงจำบางอย่างยังคงตามเธอมาด้วย
– IBN 5100 ยังคงไม่อยู่ในศาลเจ้าแห่งนั้น เขาสงสัยว่ามันอยู่ที่ไหน, บนตึกไทม์แมชชีนก็ไม่อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกับโลกที่ผ่านมา

ตอนที่ 18: Fractal Androgynous

– ใช้ Time Leap กลับไปวันที่ 13 ส.ค. ช่วงบ่าย เมื่อโอคาเบะบอกความจริง เรื่องลูกะโกะเคยเป็นผู้ชาย ทำให้เธอร้องไห้
– ในห้องแล็บนั้น มายูริที่เพิ่งกลับมา ต่อว่าเขาที่ไปหาว่าลูกะโกะเป็นผู้ชาย จนเธอไม่กล้ามาที่แล็บพร้อมกับตน
– คุริสุแนะนำให้เปลี่ยนอดีตโดยไม่ต้องบอกเธอ แต่โอคาเบะไม่มีเบอร์เพจเจอร์ของแม่เธอ
– เมื่อคุริสุพูดเรื่องปักธง โอคาเบะพูดประโยคที่เหมือนปักธงตาย ทำให้เธอต้องแก้ว่าปักธงรักต่างหาก
– มีเมล์จากลูกะโกะมาถึงโอคาเบะ บอกมีเรื่องจะคุยด้วย ให้เขามาที่ศาลเจ้า ลูกะโกะยอมรับที่จะเปลี่ยนเป็นผู้ชายตามที่เขาต้องการ แต่ขอเพียงเงื่อนไขเดียว คือ ขอเดทกับเขา 1 วัน เธอสารภาพว่าชอบโอคาเบะมานานแล้ว
– เมื่อโอคาเบะยอมรับข้อตกลงนั้น ทำให้เธอน้ำตาซึม
– ระหว่างคุยกับคุริสุที่ร้านเมดคาเฟ่ เฟริสมาแซวเรื่องเดทและเรื่องเจ้าชู้ ทำให้คุริสุสงสัยว่าเขาเคยคบใครมาบ้าง
– โอคาเบะหาข้อมูลการเดทจากตามเว็บไซต์ แต่ดูเหมือนจะเข้าใจยากเกินไปสำหรับเขา จนคุริสุหาข้อมูลเรื่องการเดทจากนิตยสารให้
– ระหว่างปะทะคารมกัน เมื่อเธอหลุดปากเรื่องยังซิง โอคาเบะเลยได้คำล้อใหม่เป็น “อเมริกันเวอร์จิ้น”
– คุริสุเตรียมชุดสูท แล้วผูกเนคไทกับให้ผ้าเช็ดหน้าเขา ก่อนบอกให้เริ่มภารกิจ Valkyrie
– โอคาเบะออกเดทในชุดสูท ซึ่งลูกะโกะไม่เคยเห็นเขาใส่ชุดอื่นนอกจากเสื้อกราวน์
– เป็นการเดทที่ค่อนข้างติดขัดในหลายจุด ด้วยความที่ไม่เคยชินของโอคาเบะ ระหว่างเดท ดารุกับคุริสุสะกดรอยตามอยู่ห่างๆ
– โอคาเบะนึกถึงครั้งแรกที่พบกัน ที่เขาช่วยเธอจากช่างภาพที่ตามตื้อเธอในเมือง ซึ่งเธอขอโทษแล้วบอกเขาว่าตนเป็นผู้ชาย แต่โอคาเบะในตอนนั้นตอบว่า “จะเป็นชายหรือหญิงก็ไม่สำคัญ”
– เขาสังเกตว่า ลูกะโกะพอจะจำสิ่งที่เกิดในโลกที่เป็นผู้ชายได้เช่นกัน
– พอไปส่งลูกะโกะที่ศาลเจ้า เธอก็ให้เบอร์เพจเจอร์ของแม่ด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย ก่อนจะวิ่งจากไป
– ที่ห้องแล็ป ได้เตรียมข้อความไว้ว่า “เนื้อๆ ผักๆ เนื้อๆ ผักๆ” เพื่อให้ D-Mail ก่อนหน้านั้นเหมือนเป็นเมล์ก่อกวนสำหรับแม่เธอ
– มายูริมาถึง บอกว่าเห็นลูกะโกะเดทกับใครก็ไม่รู้ ถึงจะบอกว่าโอคาเบะ แต่เธอก็ไม่เชื่อ
– ทำให้โอคาเบะคิดได้ว่า นั่นไม่ใช่ตัวตนของเขา ก่อนไปหาลูกะโกะทั้งเสื้อกราวน์
– ที่ศาลเจ้าตอนค่ำ โอคาเบะคุยกับเธอด้วยท่าทางตามปกติ และให้ลูกะโกะซ้อมดาบกัน นั่นทำให้ลูกะโกะยิ้มแย้มได้ตลอดเวลา
– เธอสารภาพว่า เมื่อปลายปีก่อน เธอทำความสะอาดห้องเก็บของนั้นแล้วทำเครื่อง IBN 5100 พัง
– ก่อนจากกัน ลูกะโกะแสดงความเสียใจที่ต้องกลับเป็นชาย และจะไม่ได้เดท หรือรักกับโอคาเบะอีกในโลกนั้น
– โอคาเบะตอบว่าไม่สำคัญ ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง เธอก็ยังเป็นลูกะโกะอยู่ดี

[Divergence Meter : 0.523307 <- 0.456914] – โอคาเบะปรากฏตัวที่หน้าศาลเจ้าในตอนค่ำ ทำให้ลูกะโกะประหลาดใจ
– เมื่อถามลูกะโกะที่อยู่ต่อหน้าเขาเรื่องความรู้สึก เธอตอบเพียงรู้สึกนับถือเขาเท่านั้น
– ตอนนี้ เหลือเมล์ที่ต้องแก้ไขอีกเพียงฉบับเดียวเท่านั้น “โมเอกะ

ตอนที่ 19: Endless Apoptosis

วันที่ 15 ส.ค. เวลา 2 ทุ่ม
– โอคาเบะกำลังนั่งรอดูสถานการณ์ เมื่อเห็นมายูริปกติ จึงเรียกคุริสุไปคุย
– เขารู้ว่าโมเอกะส่งข้อความเพื่อไม่ให้ซื้อมือถืออันใหม่
– ด้านคุริสุอาสาจะไปงาน ComiMa แทน เพื่อให้โอคาเบะใช้เวลาหาตัวโมเอกะ แต่ในวันถัดไป เจอฝูงคนในงาน จนต้องส่งเมล์มาบ่นกับโอคาเบะ

วันที่ 16 ส.ค.
– เนื่องจากติดต่อไม่ได้ ทำให้เขาหาที่ทำงานเก่าของโมเอกะแทนจากอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์ไปสอบถาม
– เมื่อไปถึงที่พัก เขาก็พบกับสิ่งไม่น่าเชื่อ เพราะโมเอกะฆ่าตัวตายไปแล้ว
– ก่อนเขาจะใช้ Time Leap ก็เกิดลังเล และรอจนค่ำเพื่อพิสูจน์บางสิ่ง
– ช่วงค่ำ คุริสุโทรหาเขาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เพราะมายูริตายต่อหน้าเธอ
– เมื่อเห็นว่าเส้นตายยังคงเป็น 19.52 เขาจึงเดินทางข้ามเวลา

วันที่ 11 ส.ค. (ย้อนเวลา)
– คุริสุบ่นเรื่องที่เขากินพุดดิ้งของเธอ คำพูดที่ว่า “เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว” ยังติดหูเขามาถึงโลกนี้ แม้คนที่พูดในโลกนี้จะไม่รู้ว่าเคยพูดประโยคนั้นก็ตาม
– โอคาเบะไปหาโมเอกะที่ห้อง พบว่าห้องไม่ได้ล็อก และโมเอกะกำลังกดโทรศัพท์ตามลำพังในห้องมืด พึมพำถึงคนชื่อ FB
– คำว่า FB ปรากฏเต็มหน้าจอเครื่อง เธอไม่ตอบสนองเขา ทำให้โอคาเบะต้องใช้กำลังแย่งโทรศัพท์มา
– ด้วยความโมโหจึงชกหน้าโมเอกะไปหนึ่งที ก่อนหนีออกหน้าห้องขังเธอไว้ แล้วรีบคุยกับคุริสุที่กำลังเตรียม D-Mail ไว้
– ข้อความในมือถือ เขียนเรื่องให้เปลี่ยนมือถืออันนั้น
– โอเคเบะคิดว่าทุกอย่างจบลง แต่ปรากฏไม่เกิดอะไรขึ้น Reading Stieiner ไม่แสดงผล
– เมื่อสังเกตที่มือถือ ถึงรู้ว่าเป็นมือถือเดิมไม่ได้ซื้อใหม่ แสดงว่าข้อความที่โมเอกะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกนี้ ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนมือถือ
– พอเช็ค Outbox ในมือถือที่เต็มไปด้วยข้อความส่งออก เสียงในห้องก็เงียบไป แล้วเริ่มดังขึ้น
– เมื่อเปิดประตูห้องโมเอกะอีกครั้ง ก็มีโต๊ะลอยออกมา โอคาเบะจึงใช้แรงบังคับโมเอกะให้เลิกโวยวาย
– แต่ก่อนจะพูดอะไรก็ได้ยินเสียงฝีเท้า คนที่กำลังมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงจูบโมเอกะเพื่อกลบเกลื่อน เหมือนคู่รักกำลังทะเลาะกัน
– หลังโอคาเบะถูกกัดริมฝีปาก โมเอกะก็อ้อนวอนเพื่อขอมือถือคืน เขาจึงถามเนื้อหาใน D-Mail เมื่อเธอไม่บอก จึงเดาว่าเป็นพวกถึงเรื่อง Rounder และ IBN 5100 เพราะเขาย้อนเวลามาถึงรู้เรื่องพวกนี้
– โมเอกะจึงบอกเรื่องที่เธอได้รับคำสั่งจาก FB และ FB เหมือนเป็นทุกสิ่งสำหรับเธอ
– โอคาเบะจึงบอกว่า FB ทอดทิ้งเธอแล้ว แต่โมเอกะก็พยายามปฏิเสธ เพราะ FB ช่วยเธอไว้ เปรียบเสมือนแม่สำหรับเธอ
– ในอดีตปี 2006 ระหว่างที่กำลังจะกระโดดตึก มีเมล์จาก FB ส่งมาหาเธอ เพื่อรับสมัครคนเป็น Rounder โดยไม่มีเงื่อนไขด้านความสามารถใดๆ
– โอคาเบะยืนยันว่าเธอจะฆ่าตัวตายในอีก 4 วันข้างหน้า ระหว่างที่รอการตอบกลับจาก FB ที่ทอดทิ้งเธอแล้ว
– เธอกรีดร้องเมื่อได้ยินเช่นนั้น โอคาเบะปล่อยเธอแล้วเช็คเมล์โทรออก ระหว่างนั้น เขาถึงรู้ว่าโมเอกะไม่เคยพบ FB มาก่อน ติดต่อทางเมล์โทรศัพท์เท่านั้น
– เขาพบข้อความนั้นแล้วว่า “PC เก่าอยู่ในศาลเจ้ายานาบายาชิ ให้ไปเก็บทันที”
– เขาติดต่อกลับไปหาคุริสุเพื่อใช้ D-Mail ยกเลิกเมล์ก่อนหน้าอีกครั้ง โดยแก้เป็นว่า “อย่าไปที่ศาลเจ้า เป็นกับดัก ของสิ่งนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น”
– ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก จึงรู้ว่าเธอไม่เชื่อในเนื้อหาเมล์ฉบับนั้น และเชื่อเพียงคนๆ เดียวเท่านั้น โอคาเบะจึงส่งมือถือคืนให้เธอ
–  ถึงในโลกอื่น FB จะติดต่อเธออีกครั้งเพื่อให้ฆ่าคน แต่โลกนี้จะไม่เกิดเรื่องนั้น และการตายของโมเอกะจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ต่อเรื่องแบบนี้
– เมื่อมองที่รอยมือโอคาเบะที่จับเคยจับแขนเธอ ก่อนเขาจะออกจากห้อง เธอจึงบอกว่าเครื่อง IBN 5100 อยู่ที่ตู้ฝากหน้าไดบิรุ

ตอนที่ 20: Finalize Apoptosis

– ในคืนนั้น โอคาเบะคิดจะเขาชะแลงไปงัดตู่ แต่โดนคุริสุสต๊อบไว้ก่อน เธอคิดว่าต้องแก้ไข D-Mail เขาถึงจะได้รับมันคืนมา
– วันต่อมา โอคาเบะไปนั่งรอที่หน้าตู้ฝากของนั้นตามคำแนะนำของคุริสุ เพื่อเข้าถึงตัว FB โมเอกะซื้อของมาฝากและรอดู
– ตอนเย็นคุริสุและมายูริพบ Mr.บราวน์ก่อนกลับบ้าน เขาฝากไปบอกโอคาเบะว่าค่าห้องเพิ่มขึ้นอีก 5,000 เยน
– ระหว่างโมเอกะเช็คข้อความเก่าในวันที่ 29  จึงรู้ว่า M4 เป็นโคดเนมของโมเอกะ
– วันต่อมา มีคนมารับเครื่อง IBN 5100 ถึงตามไป และเขาจำชายที่มารับของอีกต่อหนึ่งได้ว่าเป็นพวก Rounder ที่บุกเข้าห้องเขา
– ระหว่างตาม มีเหตุผิดพลาดเพราะมีการส่งของต่อแบบไม่ทัน สังเกต ทำให้ต้องข้ามเวลากลับไปในบางช่วงจนเขาพบกับคนที่ขับรถมารับของคนสุดท้าย มิสเตอร์บราวน์ ?
– หลังย้อนเวลานิดหน่อยไปเอารถมาตามไป ถึงรู้ว่าเครื่องถูกส่งไปซ่อนที่บ้านพัก ก่อนส่งเครื่องนั้น ส่งไปยังสนามบินเพื่อไปฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่ตั้งขององค์กร SERN
– ตอนเช้าวันที่ 15 คุริสุมาต่อว่าที่เขาไม่ติดต่อมา ตอนนี้เขาจึงตัดสินใจไปคุยกับ มิสเตอร์บราวน์ โดยตรง พูดเรื่องคนชื่อ FB และเครื่อง IBN 5100
– มิสเตอร์บราวน์จึงรู้ว่า M4 ขายพวกเขา ซึ่งชื่อ FB ย่อมาจาก Ferdianad Braun นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล ผู้ประดิษฐ์ Braun Tube
– มิสเตอร์บราวน์ หลอกเธอและพวก Rounder ทุกคน โดยเขียนเหมือนเป็นผู้หญิงและตอบในสิ่งที่พวกนั้นต้องการ วิธีนี้ ทำให้หลอกทุกคนง่าย
– โอคาเบะไม่เข้าใจว่า สึซึฮะดูแลเขา ทำไมเขายังเป็น Rounder ทำให้เขาสงสัยว่ารู้จักเธอได้อย่างไร และเธอไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
– ชีวิตวัยเด็กของมิสเตอร์บราวน์ลำบากมาก เคยต้องอยู่ในท่อระบายน้ำกลางฤดูหนาว, ไม่ได้กินข้าวหลายวันติดต่อกัน แ ละเมื่อนอนฝูงหนูก็จะมารุมเหมือนกับตายไปแล้วเขาเห็นเส้นใยหย่อนลงมา ราวกับใยแมงมุม เขาจึงไต่ขึ้นมา เต็มไปด้วยงานที่สกปรก และกลายเป็นหุ่นชักใยที่หนีไม่ได้
– มิสเตอร์บราวน์หันปืนไปทางโมเอกะ แล้วเหนี่ยวไก
– เมื่อทำงานพลาด ถึงจะหนีพวกนั้นก็จะเล่นงานครอบครัวของเขาแทน เขาไม่ต้องการให้นาเอะได้รับอันตราย จึงฆ่าตัวตาย ก่อนโมเอกะจะสิ้นใจ เธอกล่าวขอโทษโอคาเบะ
– เขาจึงทำการส่ง D-Mail อีกครั้งเพื่อให้ M4 หยุดการค้นหาเครื่อง IBN 5100

Divergence Meter : 0.571046 <<<<< 0.523307
– เขาย้ายไปอยู่หน้าห้องโมเอกะ ตอนนี้เธอ (ไชนิ่งฟิงเกอร์) ไม่ต้องการเครื่อง IBN 5100 ไปสักพัก
– เครื่อง IBN 5100 ถูกเก็บไว้ที่ห้อง ส่วนดารุไปงาน ComiMa เขาจึงข้ามเวลาย้อนไปอีกครั้งในวันที่ 13 (สร้างเครื่อง Time Leap)
– โอคาเบะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุริสุกับดารุฟัง เขาต้องการให้ดารุ ลบข้อมูลทั้งหมดในเครือข่ายของ SERN ที่เกี่ยวข้องกับตัวพวกเขา
– เมื่อดารุรู้เรื่องที่มายูริจะตายและสึซึฮะเป็นลูกเขามาจากอนาคต และคิดว่าเขาน่าจะไปเป็นนักเขียนไลท์โนเวล
– โอคาเบะกล่าวขอบคุณที่เธอสร้างเครื่อง Time Leap Machine และทำเหมือนจะพูดบางอย่างแต่หยุดไว้ ทำให้คุริสุอยากรู้ ด้านดารุบอกเข้าระบบกับ SERN ได้แล้ว
– คุริสุพูดถึง D-Mail ฉบับแรก (โดยบังเอิญ ระหว่างข้ามถนน) ซึ่งเขาเคยบอกว่าตัวเธอถูกแทง ทำให้เธอสงสัยเป็นแค่เรื่องล้อเธอเล่นหรือเปล่า ทำให้โอคาเบะนึกถึงปัญหาสำคัญนั้นขึ้นมาได้
– เมื่อลบข้อมูลในฐานข้อมูลทั้งหมดแล้วส่ง D-Mail จะกลับไปยังโลกที่ SERN ไม่ได้สร้างปัญหาทั้งหมด มายูริจะไม่ตาย แต่ เวิลด์ไลน์นั้น คุริสุจะตาย

จุดแตกต่างจากเกมในตอนที่ 19-20
เป็นช่วงเดียวที่ถูกแก้เยอะจากภาควิชวลโนเวล อาจเพราะเนื้อหาแรงไปหน่อย ไม่ได้เห็นนาเอะเวอร์ชั่นโหด
  • FB จะฆ่าตัวตายหลังอธิบาย โดยไม่ฆ่า โมเอกะ
  • โมเอกะ จะถูกลูกสาวเขา นาเอะ (เด็ก) แทงตาย แล้ววิ่งหนีไป
  • ถ้าต้องการหาเหตุผล ใช้ไทม์ลีป รอจับเธอหลังฆ่าโมเอกะ
  • นาเอะ ใช้ไทม์ลีปของห้องโอคาเบะมาจากอนาคต โดยย้อนทีละ 2 วันร่วม 15 ปี
  • หลังเสียพ่อไป เธอแค้นพวกโอคาเบะที่เป็นต้นเหตุ นาเอะกลายเป็นพวก Rounder ของ SERN
  • นาเอะ ทรมาน-ฆ่า โอคาเบะจนตายในปี 2025 (โอคาเบะตายในปี 2025 ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งเสมอ)
  • เธอรู้ว่าฆ่าโอคาเบะตอนนี้ไม่ได้ เลยมาขู่ให้เขากลัวเท่านั้น รอวันที่เขาจะโดนเธอทรมานด้วยความแค้นจนตายในปี 2025
  • อย่างไรก็ตาม หลังข้ามเวิลด์ไลน์ จะไม่ได้เจอนาเอะเวอร์ชั่นนี้อีก

ตอนที่ 21: Paradox Meltdown

เมื่อรู้ว่าการ Cracking เพื่อลบชื่อจากระบบของ SERN แล้วกลับสู่โลก Beta จะทำให้คุริสุตาย โอคาเบะจึงตัดสินใจบอกให้ดารุหยุดไว้ก่อน
– เวลาผ่านไปถึง 17 ส.ค. ดารุไปงาน ComiMa ระหว่างนั้นมายูริไปหาโอคาเบะบนดาดฟ้า หลังคุยไปสักพักเขาจึงไปเที่ยวงานกับเธอด้วย
– ระหว่างนั้นเขาพยายามหาวิธีแก้ไขทุกอย่าง จนโทรไปคุยกับผู้ช่วย (ระหว่างนั้นคุริสุหาลิสต์ให้ดารุที่โทรมา แล้วไปพบหนังสืออย่างว่าที่ซ่อนอยู่)
– ถึงคุริสุจะรู้อยู่แล้วว่ามายูริจะตายวันนี้ แต่เขาก็ไม่ยอม Cracking เรื่องนั้นยังคงสร้างความประหลาดใจแก่เธออยู่
– โอคาเบะก็ยังคงไม่ตอบคุริสุ เมื่อค่ำจนใกล้ถึงเวลานั้น ระหว่างกลับบ้าน โอคาเบะกับมายูริคุยเรื่องต่างๆ
– มีรถวิ่งมาในซอยแคบ และนาฬิกาของมายูริก็ตาย โอคาเบะพาเธอไปหลบในซอยแคบและตั้งใจตายแทนเพื่อให้โลกเปลี่ยนไป
– แต่มายูริก็มาขวาง ทุกอย่างยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
– โอคาเบะยังคงใช้เครื่องมือข้ามเวลากลับไปก่อนที่จะแครกกิ๊งระบบของ SERN
– เมื่อคุยบนดาดฟ้ากับคุริสุไปสักพัก เขาอารมณ์เสียจนจะขว้างมือถือทิ้งแต่คุริสุห้ามไว้
– เขาเล่าเรื่องในวันที่ 28 ก.ค. ตามที่คุริสุต้องการ เรื่องที่เธอถูกฆ่าที่ตึกวิทยุในวันนั้น บนโลกของ Beta ทำให้เธอตกใจที่ได้ยิน
– ระหว่างนั้น มายูริโทรมาจากในงาน ComiMa กล่าวขอโทษที่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับเขา และรู้สึกเป็นภาระสำหรับเขา
– คุริสุพูดเรื่องที่มายูริรู้สึกโดดเดี่ยวที่เขาไม่ไปกับเธอ หลังพูดสักพักก็ เดินจากไปเมื่อติดต่อไปที่ดารุ ถึงรู้ว่าคอสเพลเยอร์คนอื่น บอกว่ามายูริออกจากงานไปแล้ว
– โอคาเบะไปที่หลุมฝังศพญาติของมายูริ และพบเธอกำลังพูดอยู่
– มายูริกล่าวหน้าหลุมศพ ถึงสิ่งที่เห็นในฝัน ที่เป็นความตายที่น่ากลัวหลายอย่าง ไม่ว่าจะถูกรถชนตายหรือรถไฟทับร่าง ภาพความตายเหล่านั้นยังติดตาราวกับเป็นเรื่องจริง
– เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงฝันแบบนั้น แต่ทุกครั้งในตอนจบ โอคารินจะมาช่วยเธอเสมอ เมื่อเธอกล่าวขอบคุณเขาแต่เขาไม่ได้ยิน หลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้น
– มายูริพูดต่อ ตอนนี้มีสมาชิกในห้องทดลองมากมาย จากเดิมที่มีเพียงสองคน เธอพูดถึงคุริสุที่เป็นคนฉลาดและคุยเรื่องยากๆ กับโอคาเบะได้อย่างมีความสุข
– เธอนึกถึงครั้งแรกที่มาพบโอคาเบะในห้องทดลอง แล้วทำความสะอาดห้องให้เขา จนกระทั่งเขากลับมา เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ แม้จะคุยได้เพียงสองโมงแต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน
– ตอนนี้โอคาเบะแปลกไป จนเธอรู้สึกเหมือนเป็นภาระของเขา และอาจต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวในอนาคต
– โอคาเบะจึงเริ่มพูดว่าเธอเป็นตัวประกันของเขาและไม่สามารถอิสระได้
– หลังพูดจบ ก็พากันกลับบ้าน แต่เขาก็รู้ว่าก่อนกลับ เธอต้องการแวะไปหยอดกาชาปองของ Upa อีก
– อีกด้านคุริสุมาสำรวจที่ตึกวิทยุ และมองในห้องที่เธอถูกแทง

ตอนที่ 22: Being Meltdown

– ระหว่างยืนบนตึกวิทยุ ฝนตกทำให้ทั้งสองเข้าไปอยู่ในตึก
– โอคาเบะคุยกับคุริสุระหว่างอยู่ในตึก เธอช่วยเย็บเสื้อกราวน์ที่ขาดให้เขา
– หลังคุยเรื่อยเปื่อยไปสักพัก คุริสุเริ่มพูดเรื่องที่ตัวเองถูกแทง เธอรู้เพราะเคยฝันเห็นมาก่อน และนั่นเจ็บปวดมากกว่าจะเป็นความฝัน เธอกล่าวถึงความพยายามที่ผ่านมาของเขาเพื่อต้องการจะช่วยเหลือมายูริ และเธอต้องการให้เขาช่วยเหลือมายูริ
– คุริสุ ก็เคยพยายามคิดเรื่องการกลับไปสู่ Beta World แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะเลี่ยงเรื่องนั่นได้อย่างไร นอกจากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และขอให้เขาทำในสิ่งนั้น
– โอคาเบะวิ่งหนีกลับไปที่ห้องทดลองเพื่อใช้ Time Leap Machine คุริสุวิ่งตามมาและขัดขวางเขา เป็นเรื่องไร้ค่าที่จะย้อนกลับไปเพื่อทำร้ายตัวเองอีก
– เขาเริ่มเพ้อถึงเรื่องที่เห็นมายูริตายนับครั้งไม่ถ้วนมาก่อน นั่นไม่ได้ส่งผลเสียต่อตัวเขา ทำให้คุริสุตบเขาเพื่อเรียกสติกลับมา
– หลังพูดไปสักพัก โอคาเบะกอดคุริสุ และพูดถึงเรื่องที่เธอช่วยเหลือเขาตลอดมา
– คุริสุเริ่มหยิบยกเรื่องที่เธออาจจะไม่ตายในโลกนี้ แม้ว่าเขาจะข้าม World Line ไปแล้ว ก็อาจมีตัวเขามาทดแทนในโลกนี้ก็ได้ (ทฤษฏีโลกคู่ขนาน) และตัวเธอในโลกนี้จะยังอยู่ต่อไป
– อาจมีตัวเธอจำนวนไม่ถ้วนในโลกอื่นอีกมากมายที่เชื่อมโยงจิตใจกับตัวเธอ เพื่อให้เขาสบายใจขึ้นและไม่ต้องห่วงตัวเธอบนโลกนี้ (นึกถึงภาพมายูริในฝันของโลก 70 ล้านปีก่อน ที่เคยพูดทำนองเดียวกัน)
– โอคาเบะบอกว่าเขาจะไม่มีทางลืมเธอ และสารภาพรักกับเธอ เขาถามความรู้สึกของเธอต่อเขา แต่เธอให้เขาหลับตาลง ก่อนจะกอดเขามาจูบ
– ถึงจะเป็นจูบแรกสำหรับคุริสุ แต่ไม่ใช่สำหรับโอคาเบะ
– เขาเกรงว่าจะไม่ประทับใจพอที่จะทำให้จำเธอได้ จึงขอจูบอีกครั้งเพื่อไม่ให้ลืมเธอ ในครั้งนี้ขอจูบนานกว่าเดิม
– คุริสุออกเดินทางกลับต่างประเทศ โอคาเบะให้กล้องติดใบพัดให้เธอเป็นของฝาก
– ก่อนจาก เธอโยน Dr.Pepper ให้เขา แต่เหมือนจะพลาดเพราะตกไปด้านหลัง ให้เขาไปเก็บ เมื่อเขาหันหลังกลับมา เธอจากไปแล้ว
– คุริสุ รู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องรู้สึกเจ็บปวดต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มีเพียงเขาที่จำเธอได้ในโลกอื่น แต่เธอก็ยินดีที่เขายังมีความเจ็บปวดนั้นเพราะไม่ว่าเมื่อเขาอยู่ในห้องทดลอง, เดินในเมือง หรือต้องจูบกับใครสักคนในอนาคต แม้จะเป็นเพียงบางครั้ง ยังคงมีเขาที่จำตัวเธอได้ และเธอจะยังคงอยู่ในโลกที่ก้าวข้าม 1% นั้น
– ที่ห้องทดลอง ดารุพบข้อมูลนั้นแล้ว โอคาเบะจึงให้ลบข้อมูลนั้นออก นั่นเป็นจุดสิ้นสุดของโอเปอเรชั่น Verdandi
– เขาพูดเพ้อเจ้อต่อไป จับรอยเย็บที่เสื้อ แต่ท่าทางกับน้ำเสียงที่สั่นเหมือนกับจะร้องไห้นั้น ทำให้ดารุและมายูริแปลกใจ
– เขากด Enter ที่คอมพิวเตอร์เพื่อลบข้อมูล จังหวะนั้นคุริสุเปิดห้องทดลองเพื่อพูดบางอย่าง แต่ทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนไป

[Divergence Meter : 1.130205 (Beta World)] – เมื่อเขาอยู่ในห้องทดลอง เขาถามมายูริ ไม่มีใครรู้จักสมาชิกคนที่ 4 ในชมรม รอยเย็บที่เสื้อกราวน์ที่คุริสุเย็บให้ได้หายไป
– เขาจึงประกาศชัยชนะ ที่เอาชนะพวก SERN และกาลเวลาได้ มายูริกล่าว ว่าเขาไม่ต้องฝืนพูดแบบนั้นอีกแล้ว ตัวเธอปลอดภัยดี
– บนดาดฟ้า โอคาเบะมองเครื่อง IBN5100 ที่ส่งไปทางรถบรรทุก เขากล่าวเรื่องที่ต้องการเครื่อง Phone Microwave อีกแล้ว นั่นทำให้เขาได้พบคุริสุ และพบความเจ็บปวดมากมาย
– ตัวตนของเคียวมะตายไป พร้อมกับของ Phone Microwave นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม คุริสุ ? เขากล่าวกับตัวเอง
– ดารุได้รับการติดต่อ ซึ่งหลุดปากคำว่า “พ่อ” เธอคนนั้นให้ โอคาเบะ ไปที่ตึกวิทยุโดยเร็ว เธอเป็นคนที่มาจากโลกในปี 2036 ลูกสาวของฮาชิดะ อิทารุ ที่ชื่อ อามาเนะ สึซึฮะ เธอจะบอกรายละเอียดในภายหลัง …. ตอนนี้ต้องหยุดสงครามโลกครั้งที่ 3 !!

ตอนที่ 23: Open the Steins Gate

21 ส.ค. 2010 เวลา 17.32 น.
– บนดาดฟ้าตึกวิทยุ โอคาเบะ, มายูริ และดารุอยู่หน้าเครื่องไทม์แมชชีนที่เดินทางมาที่นี่อย่างสมบูรณ์ (ต่างจากในโลก Alpha ที่ชนตึก) โอคาเบะรู้จักเครื่องนี้ดีอยู่แล้ว
– สึซึฮะที่เดินทางมาจากโลก 2036 ได้อธิบายเรื่องที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ในปีค.ศ. 2015 และทำให้มีผู้บาดเจ็บและล้มตายไปกว่า 5,700 ล้านคน
– เมื่อเห็นโอคาเบะรู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว จึงชวนเขาไปด้วย แต่โอคาเบะปฏิเสธ เพราะตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เขาพยายามแก้ไขทุกอย่าง จนต้องเสียสละคุริสุเพื่อกลับมาโลกนี้
– ทำให้มายูริและดารุประหลาดใจ ซึ่งดารุเคยได้ยินชื่อนี้จากคนที่ถูกแทงที่ตึกนี้
– สึซึฮะจึงพูดเรื่องที่ต้องปกป้องความตายของคุริสุในวันที่ 28 ก.ค. 2010 เพื่อระงับเหตุ WW3
– ถึงเธอไม่รู้รายละเอียดนัก แต่ภารกิจ คือ ต้องไปโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบจาก Attractor Field ที่เรียกว่า Steins Gate
– Steins Gate เป็นสมมุติฐานจากพ่อของเธอและตัวโอคาเบะในอนาคต เป็นไปได้ที่จะไม่มีโลกนั้นอยู่จริง แต่ถึงแบบนั้นก็ต้องลองเพื่อพิสูจน์
– เมื่อยื่นมือชวน โอคาเบะยังลังเล จนมายูริและดารุช่วยเสริม โดยพูดเรื่องคุริสุเป็นคนสำคัญ และเรื่อง WW3 ที่เป็นเรื่องเพ้อฝันที่โอคาเบะชอบอยู่แล้ว
– โอคาเบะไม่สนเรื่องผู้ล้มตายจาก WW3 แต่เขาต้องการช่วยคุริสุ จึงเดินทางไปกับเธอ
– เมื่อพูดถึงผลงานชิ้นเอกของพ่อ สึซึฮะกระพริบตาให้ดารุ ซึ่งทำให้เขานึกว่ามีใครอยู่หลังเขา
– ก่อนขึ้นเครื่องไทม์แมชชีนที่รองรับได้สองคน สึซึฮะให้เก็บมือถือไว้ที่นี่ เพราะอาจจะทำให้มีปัญหาถ้ามีสองเครื่องในช่วงเวลาเดียวกัน จึงฝากมายูริไว้
– เมื่อรู้ว่าสึซึฮะย้อนเวลาไปปี 1975 (รับเครื่อง IBN 5100) และ 2000 (Jonh Titor ปรากฏตัว) จึงรู้ว่าเครื่องไทม์แมชชีนในโลก Beta สามารถย้อนเวลาแล้วยังเดินทางไปยังอนาคตได้ (ต่างจากในโลก Alpha ที่ย้อนเวลาได้อย่างเดียว)

28 ก.ย. 2010

– โอคาเบะเมาเครื่องเล็กน้อย ส่วนสึซึฮะใช้ปืนยินประตูเพื่อให้เปิดออกเธอเตือนไม่ให้โอคาเบะในอดีตพบเขา ซึ่งทำให้เกิด Time Paradox และให้จำช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ให้ดี
– ในตึก เขานึกได้ว่าตัวเองไปไขเครื่องกาชาปองกับมายูริในชั้น 7 เนื่องจากวิ่งลงบันไดมาอยู่จึงต้องถอยชั้น 6
– ที่นั่นเขาพบคุริสุระหว่างทาง ทำให้เขาระงับความดีใจที่ได้พบเธออีกครั้งไม่อยู่ จนจะเอามือไปแตะหน้าเธอแต่ถูกปัดไว้
– เสียงประกาศเริ่มสัมมนาเริ่มขึ้น โอคาเบะเลยจากไป
– เขาเห็นถึงตอนพูดกับสึซึฮะ เรื่องที่ต้องหาต้นตอว่าใครแทงคุริสุ ระหว่างนั้นคุริสุที่รอหน้าห้องได้ยินเสียงโอคาเบะในอดีตโวยวายเรื่องผลวิจัยที่เป็นของ John Titor
– โอคาเบะเดินไปที่ห้องที่คุริสุถูกแทง ทำให้เขาเริ่มสงสัยว่าเธอถูกแทงจากที่อื่นหรือเปล่า แต่คุริสุก็เดินมา
– เธอเปิดอ่านเอกสารเกี่ยวกับไทม์แมชชีน ซึ่งนัดพ่อของเธอมาคุยด้วย ดร.นาคาบาจิ คุริสุพูดกับพ่อด้วยเสียงอ่อนหวาน เกี่ยวกับงานวิจัยของเธอเรื่องไทม์แมชชีน เธอต้องการความเห็นและให้ใช้เพื่อแสดงให้คนที่ไล่เขาออกได้รู้ นั่นทำให้เขาเถียงว่าไม่จริง
– เธอยังหวังจะใส่ชื่อของเธอและพ่อไว้แต่ดร.นาคาบะจิหลังเปิดอ่านผ่านๆ ก็บอกว่าจะใส่ชื่อเขาเพียงคนเดียวแล้วหยิบเอกสารไป
– หลังคุริสุพูดเรื่องเหมือนขโมยผลงานเธอ ทำให้เขาโมโหจนผลักเธอล้ม แล้วกดคอเธอไว้ เขาไม่พอใจที่ลูกสาวฉลาดกว่าตัวเองจนล้ำหน้าเขาไป
– โอคาเบะจนไม่ไหวจนต้องช่วยเหลือ พอดร.นาคาบะจิจำหน้าได้ ก็เข้าใจว่าทั้งสองรวมหัวกันแกล้งเขา จนเขาชักมีดพกออกมา อคาเบะสู้จนชิงมีดนั้นมาได้
– ดร. ก็เก็บไขควงที่ตกบนพื้นไว้ เขาคิดว่าคุริสุเป็นต้นเหตุจนจะแทงเธอ
– โอคาเบะเห็นภาพนั้นก็ทนไมไหว ทำให้เขาเอามีดพกนั้นจะปักเข้าร่างนาคาบะจิ แต่คุริสุผลักพ่อเธอหลบ ทำให้มีดนั้นแทงร่างเธอแทน
– นาคาบะจิหัวเราะความโง่เขาของทั้งคู่ แล้วหยิบผลงานนั้นไปด้วย
– คุริสุขอโทษที่ให้คนไม่รู้จักแบบโอคาเบะมาเกี่ยวข้องด้วย ก่อนบอกเรื่อง เธอยังไม่อยากตาย แล้วหมดลมหายใจไป
– โอคาเบะอยู่ในสภาพช็อคจนร้องออกมา (เสียงร้องผู้ชายในตอน 1) เขารู้ว่าตนเป็นต้นเหตุความตายของคุริสุ

21 ส.ค. 2010 เวลา 17.56 น.

– สึซึฮะและโอคาเบะกลับสู่เวลาปกติ เสื้อของโอคาเบะเปื้อนเลือดและไม่ได้สติ พูดแต่เรื่องที่ตัวเองลงมือฆ่าคุริสุ
– สึซึฮะยังพอย้อนเวลาได้อีกครั้ง แต่โอคาเบะรู้ดีว่ามันไม่มีความหมายแล้ว ผลของทฤษฏี Attractor Field Convergence จะฆ่าเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก

[จากตรงนี้เป็นตอนจบของภาค 2011 ส่วนจุดที่เชื่อมกับ สไตน์เกท Zero ให้เลื่อนไปดู ตอนที่ 23β: Open the Missing Link]

– เสียงมือถือของโอคาเบะดัง เพราะได้รับข้อความ สึซึฮะให้มายูริเปิดข้อความนั้น
– ข้อความนั้นถูกส่งมาจากปี 2025 วันเดียวกัน เวลา 18.12 มีข้อความว่า “ให้เปิดทีวี” พร้อมแนบคลิปมาด้วย (แต่ยังไม่มีใครสังเกตเรื่องเวลา) ดารุเปิดทีวีในมือถือ มีรายงานเรื่องเครื่องบินที่ส่งดร.นาคาบะจิ ไปถึงรัสเซีย
– เขาหยิบตัวอุป้าแรร์ที่มีชื่อมายูชิติดอยู่ขึ้นมา เพราะได้สิ่งนี้จึงทำให้เขารอดมาได้ ทั้งดารุและมายูริสงสัยว่าไปอยู่ที่รัสเซียได้อย่างไร
– สึซึฮะอธิบายเรื่องต้นตอของสงครามมาจากเอกสารเหล่านั่น จนเกิดการแย่งชิงการควบคุมเวลาเพื่อครองโลก และสงครามโลกครั้งที่ 3
– สึซึฮะชวนเขาอีกครั้งเพื่อให้แก้ไขทุกอย่าง แต่โอคาเบะรู้ดีว่ามันไร้ความหมาย พล่ามเรื่องต่างๆ และเหนื่อยกับเรื่องพวกนี้ มายูริตบเขา โอคาเบะที่เธอรู้จักไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แบบนี้
– สึซึฮะจึงให้เปิดคลิปที่แนบมาด้วย เขานึกถึงวันที่โทรศัพท์รวนในวันที่ 28 ก.ค. นั้น
– ก่อนเปิด สึซึฮะยอมรับเรื่องที่โกหก เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเป็นคนที่พลาดในการช่วยเหลือคุริสุมาครั้งนึง
– ในคลิปนั้นบอกว่าเขาคือโอคาเบะใน 15 ปีข้างหน้า (ค.ศ. 2025) ความเจ็บปวดที่ทำให้ผิดพลาดนั้น ทำให้เขาทุ่มเทกับการวิจัยเรื่องไทม์แมชชีน แผนการทุกอย่างพร้อมสำหรับการช่วยคุริสุและเข้าสู่ Steins Gate
– การช่วยเหลือเธอต้องทำ 2 อย่าง คือ ทำลายเอกสารเกี่ยวข้องกับไทม์แมชชีนนั้นที่ดร.เอาไปรัสเซีย และช่วยคุริสุแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความตายตามกฏ Attractor Field Convergence
– วิธีการแก้ไข คือ ต้องไม่เปลี่ยนสิ่งที่เขาเห็นในวันนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอดีตและไม่ทำให้การเดินทางในโลก Alpha ของเขาสูญหายไป
– การจะช่วยเหลือต้องหลอกลวงตัวเขาในอดีตให้มาเห็นภาพที่คุริสุตาย และเข้าใจว่าเธอตายไปแล้ว
– โอคาเบะปี 2025 พูดชื่อเครื่องไทม์แมชชีน C204 ตัวเขาในปัจจุบันรู้ทันทีว่า หมายถึง คริสติน่าพูดภารกิจสุดท้าย Operation Skuld ซึ่งเปลี่ยนผลลัพธ์ โดยไม่ทำให้อดีตเปลี่ยนไปหลอกลวงตัวเอง จงหล อกลวงตัวเองในอดีต หลอกลวงโลก เพื่อเข้าถึง Steins Gate สุดท้ายเขาขอให้โชคดี และ El Psy Congroo
– โอคาเบะหัวเราะ ที่ตัวเองในอนาคตได้พูดถึง Operation Skuld, El Psy Congroo และได้เห็นตัวเองในอนาคต เหมือนกับพวกโอตาคุที่อ่านเรื่องไลท์โนเวลห่วยๆ มากจนเกินไป เขายืนยันที่จะทำต่อไป เพราะตัวเขาที่ถูกเลือกโดย Steins Gate
– ตัวเขา โฮโออิน เคียวมะ การจะหลอกลวงโลกนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา และโลกจะอยู่ในฝ่ามือเขา

ตอนที่ 24: Achievement Point (ตอนจบ)

โอคาเบะนำของสร้างเลือดปลอมของคุริสุไปด้วย ก่อนไปกับสึซึฮะ และเก็บของเล่น เมทัล อุป้า ไปด้วย ถึงทุกอย่างราบรื่น แต่ตอนต้องใช้เลือดปลอมกลับไม่มีของเหลวในหลอด ทำให้เขาต้องใช้เลือดตัวเองเพื่อหลอกลวงโลก ทุกอย่างสำเร็จ สึซึฮะขอบคุณก่อนหายไปเพราะเธอไม่มีตัวตนในเวิล์ดไลน์สไตน์เกท โลกที่ไม่มีความขัดแย้งจากเรื่องไทม์แมชชีน

โอคาเบะพักฟื้นร่วมเดือน ให้ตราสมาชิกแล็ปกับสมาชิกปัจจุบัน ยกเว้นสึซึฮะที่รอเกิดในอีก 7 ปี และอีกคน ระหว่างเดินในอากิบาฮาระ เขาได้สวนกับคุริสุ แม้จะไม่เคยเจอหน้ากันตรงๆ มาก่อน แต่เขาแสดงท่าทางที่ทำให้ คุริสุ เริ่มจำบางส่วนได้ว่าทั้งสองเคยพบกัน

ตอนที่ 25: Egoistic Poriomania (OVA, ตอนพิเศษ)

ตอนพิเศษ – 2 เดือนหลังจบภาคหลัก พวกโอคาเบะได้ไป ลอสแองเจอลิส เพื่อดูการแข่งของเฟริสตาที่เธอต้องการ เขาได้พบผู้หญิงคนหนึ่งที่คล้ายสึซึฮะ (อามาเนะ ยูกิ) และได้คุยกัน เธอยังเคยได้ยินคำทำนายจากหมอดูว่าจะมีลูกในอีก 7 ปี ก่อนแยกกันไป ภายหลัง พวกโอคาเบะรถแก๊สหมดระหว่างทาง ระหว่างรอเขาได้คุยกับคุริสุ ที่เคยคุยเรื่องโลกอื่น มีโลกหนึ่งที่ทั้งสองเคยสารภาพรักกัน โอคาเบะจึงสารภาพรักกับคุริสุอีกครั้ง

ตอนที่ 23β: Open the Missing Link (ต่อกับภาค 0, ฉายในญี่ปุ่นตอนรีรันภาคหลักปี 2015)

เหตุการส่วนใหญ่เหมือนตอนที่ 23 แต่หลัง โอคาเบะ พลาดจากการช่วยคุริสุ มายูริ ขวางไม่ให้สึซึฮะตบหน้าโอคาเบะ เขารู้ว่าไม่สามารถแก้ไขอดีตได้อีก (จากกฏของ Attractor Field การย้อนอดีตแก้ไขเหตุการณ์สำคัญเช่น ความตายไม่ได้, ต้องการ D-Mail มาทำลายกฏข้อนี้) เขาต้องทนทุกข์กับภาพหลอนที่ฆ่าคุริสุด้วยมือตัว ใส่ชุดสีดำ เลิกยุ่งกับการทดลอง ทิ้งตัวตนในฐานะ เคียวมะ กลับไปเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเหมือนเดิม หลังผ่านไปสักระยะ เขาได้พบกับ คุริสุ ทีปรากฏเป็น A.I. คอมพิวเตอร์ (ต่อภาค Zero ในปี 2018)

* สไตน์เกทซีโร่ เป็นภาคที่โฟกัสที่ โอคาเบะคนแรก ที่ต้องเสียคุริสุไป, เผชิญหน้ากับ WW3 ในปี 2015, เป็นผู้นำกลุ่มต่อต้าน, เป็นคนสร้างไทม์แมชชีน และสมบูรณ์ในปี 2036 (สมบูรณ์กว่าที่คุริสุสร้างให้พวก SERN ในเวิล์ดไลน์ Alpha โดยทั้งย้อนอดีตและไปอนาคตได้), เป็นคนส่งข้อความมาช่วยโอคาเบะในภาคหลักจากปี 2025 รวมถึงช่วยเบื้องหลัง (รอดูในภาค Zero) ซึ่งถ้าไม่มีโอคาเบะคนแรก จะไม่มีโอคาเบะที่สามารถช่วยคุริสุได้

สรุปเหตุการณ์ในเรื่อง

ฉากจบในเกม (Visual Novel) ถึงไม่ใช่ฉากจบแยก เกมมีแค่ฉากจบเดียว แต่บทพูดของแต่ละคนก็ยาว 1 ชั่วโมงได้ และค่อนข้างซึ้งอยู่ มี Eng อยู่ใน Youtube และมีเวอร์ชั่นสั้นๆ จากตู้ปาจิงโกะ ลองค้นใน Youtube ดู

ลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง

เป้าหมายของเรื่อง คือ เข้า Steins;Gate Worldline ที่เชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาจากไทม์แมชชีนอีก

Exit mobile version